ครั้งนี้ทาง Motocross Magazine ได้รับโอกาสพิเศษได้มาร่วม รีวิวทดสอบ Royal Enfield Guerrilla 450 คันจริงพร้อม ๆ กับสื่อมวลชนสายสองล้อทั่วโลก มาไกลถึง บาร์เซโลนา ประเทศสเปน โดยทดสอบขับขี่ใช้งานจริงบนเส้นทางที่สวยงามในบาร์เซโลน่า แน่นอนว่าหลังจากได้ลองทดสอบกันแบบเข้มข้นแล้ว ก็ได้ข้อมูลที่น่าสนใจหลายจุดมาเล่าให้ฟังกัน
สำหรับโมเดลนี้เป็นโมเดลที่พัฒนาต่อยอดโดยใช้พื้นฐานเป็นเครื่องยนต์ที่มีชื่อว่า Sherpa 450 ซึ่งเป็นเครื่องตัวเดียวกันกับ Himalayan 450 แล้วปรับเปลี่ยนสู่สไตล์สแครมเบลอร์ไบค์ แต่ทางค่ายเรียกมันว่าโร้ดสเตอร์ กลายเป็นโร้ดสเตอร์พันธ์ุผสมที่มีสไตล์แบบสแครมเบลอร์ให้ภาพลักษณ์ลุย ๆ แต่ก็เหมาะกับการใช้งานเมือง ซึ่งจะมีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น เหมาะกับการใช้งานที่หลากหลาย ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์สนุกได้ในทุก ๆ วันมากกว่า
ดีไซน์คลาสสิคลงตัว
ในเรื่องของรูปโฉมนั้นตัวนั้นเจ้า Guerrilla 450 คันนี้มาในสไตล์โมเดิร์นคลาสสิค ผสมสไตล์คลาสสิคเฉพาะตัวของทางค่ายแล้วผสานเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ไว้ได้อย่างลงตัว แม้ว่าทางค่ายจะบอกว่าเป็นโร้ดสเตอร์ แต่ตัวรถกลับมียางบั้งแบบสแครมเบลอร์
เอกลักษณ์ความคลาสสิกอย่างไฟหน้า เรือนไมล์ กระจกมองหลัง และปลอกยางหุ้มโช้คมากันครบครัน ตัวรถมีแฮนด์บาร์กว้าง ถังน้ำมันเว้ารับเข่าพร้อมลวดลายกราฟิกที่สวยงาม ซึ่งก็จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละสีของแต่ละโมเดล ปิดท้ายความโมเดิร์นด้วยทรงท่อสั้นคล้ายท่อสูตรพร้อมท้ายสั้นมาให้จากโรงงาน ทำให้ได้ความรู้สึกปราดเปรียวเพียวบางเซ็กซี่สุด ๆ
แรงดีมาไว
เครื่องยนต์สูบเดี่ยว DOHC 4 วาล์ว มีขนาดปริมาตรกระบอกสูบ 452 CC ระบายความร้อนด้วยน้ำ ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ 6 สปีด จ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิกส์ เคลมพละกำลังแรงม้าสูงสุด 40.02 แรงม้าที่ 8000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 40 นิวตันเมตร ที่ 5500 รอบ/นาที ใช้น้ำมันจากถังน้ำมันขนาด 11 ลิตร มีระบบคันเร่งไฟฟ้า พร้อมโหมดการขับขี่แบบ Perfomance เพื่อความเร้าใจ และโหมด Eco เพื่อการประหยัดน้ำมัน และระบบแอสซิสต์และสลิปเปอร์คลัตช์
จากการได้ทดสอบบิดกันทั้งในเมืองทั้งเล่นโค้งนอกเมือง บอกได้เลยว่าเป็นเครื่องยนต์สูบเดียวอันเป็นเอกลักษณ์ มีพละกำลังแรงบิดที่ดีเยี่ยมตั้งแต่รอบต่ำ สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ในทริปนี้อยู่ที่ 140 กม./ชม. (ถนนส่วนมากจะโดนจำกัดความเร็ว) ซึ่งคาดว่าสามารถทำความเร็วได้มากกว่านี้อีกแน่นอน เพราะยังรู้สึกได้ถึงกำลังที่ยังเหลือ ๆ อยู่ โดยรถรีดพละกำลังได้ตามมือผ่านคันเร่งไฟฟ้า แต่ยังคงทิ้งความสั่นสะเทือนอันเป็นเอกลักษณ์ไว้ในรอบต่ำ ทว่าพอออกตัวไปแล้วก็นิ่งสมูทปกติ ถือว่าเป็นเครื่องยนต์ที่ขี่สนุกเลยทีเดียว
ช่วงล่างดีได้มาตรฐาน
ตัวรถใช้เฟรมแบบท่อเหล็กกล้า ใช้ระบบกันสะเทือนด้านหน้าแบบเทเลสโคปิกธรรมดาจาก Showa ขนาด 43 มิลลิเมตร มีระยะยุบที่ 140 มม. โช้คหลังเป็นโช้คเดี่ยวพร้อมกระเดื่องมีระยะยุบ 150 มม. ใช้ระบบเบรกจาก Bybre เต็มระบบ ด้านหน้าดิสก์เดี่ยว ขนาด 310 มม. มาพร้อมคาลิเปอร์เบรก 2 ลูกสูบ ด้านหลังดิสก์เดี่ยว ขนาด 270 มม. มาพร้อมคาลิเปอร์แบบสูบเดี่ยว มาพร้อมระบบ ABS แบบ Dual Channel
วงล้อแม็กด้านหน้าและด้านหลัง 17 นิ้วเท่ากัน มาพร้อมกับยางบั้งเตี้ย CEAT GRIPP XL RAD Steel ขนาดยางด้านหน้า 120/70 R17 ขนาดยางด้านหลัง 160/60 R17 เป็นยางแบรนด์อินเดียที่ติดมาจากโรงงานเลย และคาดการณ์ว่าถ้าเข้าบ้านเราก็จะเป็นยางตัวติดรถมาด้วยเช่นกัน
พูดถึงฟีลลิ่งช่วงล่างถึงด้านหน้าจะไม่ใช่โช้คหัวกลับ แต่ประสิทธิภาพหายห่วง โดยช่วงล่างชุดนี้ถูกปรับให้มีระยะยุบสั้นลงกว่าตัว Himalayan 450 แต่ก็สามารถตอบสนองการใช้งานได้ครอบคลุม เก็บหลุม บ่อ ลูกระนาด สบาย ๆ ไม่มีอาการชก ส่วนที่น่าประทับใจเลยคือการเข้าโค้งถือว่าหนึบติดพื้น ไม่มีอาการโยน ควบคุมง่ายสำหรับผม หนัก 85 กก. ถือว่าเอาอยู่เลย
ขณะที่เบรกที่ให้มาสมรรถนะเหลือใช้ด้านหน้าให้จานมาขนาดใหญ่ ไล่น้ำหนักเบรคมาอย่างสมูท ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ระบบ ABS ตัดการทำงานได้ละเอียด ไม่มีอาการล้อล็อคแต่อย่างใด ส่วนยางโดนทดสอบโหนเข้าโค้งเต็มวันแบบโหด ก็ถือว่ามีการยึดเกาะที่ดี แอบมีสไลด์นิดหน่อย อาจจะเพราะด้วยลมยาง
นั่งสบายหายห่วง
มิติตัวรถ กว้าง ยาว สูงมีขนาด 1,440 x 2,090 x 833 ม.ม. ไม่ได้ใหญ่เกินไปนัก ความสูงเบาะ 780 ม.ม. กับน้ำหนักตัวรถ 185 กิโลกรัม นักทดสอบสูง 180 ซม. ความสูงเบาะไม่เป็นปัญหา ถือเป็นความสูงเบาะที่กำลังดีสามารถเข้าถึงได้ทุกสรีระความสูง รวมถึงสาว ๆ มั่นใจได้เลยความสูงเท่านี้ กับน้ำหนักที่มีถือเป็นอีกหนึ่งโมเดลที่สามารถเข้าถึงได้อย่างง่าย
ท่านั่งกับเบาะตอนเดียวแบบยกระดับคนซ้อน นุ่มสบาย ขับขี่ทั้งวันไม่มีเมื่อย แฮนด์แฟลตบาร์ มีความกว้างกำลังพอดี ไม่กว้างจนเกินไป ทำให้ควบคุมตัวรถได้ง่ายคล่องตัวมาก ๆ ตำแหน่งแฮนด์ถ่อยหลังลงมาเล็กน้อยทำให้นั้งหลังตรงกำลังดี สวนตัวถังน้ำมันมีความเตี้ยกว่าปกติ มีตำแหน่งเว้ารับหัวเข่าที่กระชับ ทำให้หนีบถังเข้าโค้งได้อย่างมั้นใจ
เทคโนโลยีทันสมัย
ระบบไฟหน้าแบบทรงกลม LED ไฟเลี้ยวด้านหน้าและหลังแบบ Full LED ไม่มีไฟท้ายแยกเพราะถูกจับรวมไว้กับไฟเลี้ยวอย่างลงตัว ช่องชาร์จ USB Type C ติดตั้งที่ปะกับแฮนด์บาร์ ใช้งานสะดวกมากลองแล้วติดที่ติดโทรศัพท์สามารถชาร์จแบตเตอรีได้พอดี หน้าจอเรือนไมล์สีแบบ TFT ขนาด 4 นิ้ว สามารถเชื่อมต่อกับมือถือ มาพร้อมระบบนำทางจาก Google Maps และควบคุมผ่านจอยสติกที่บริเวณประกับแฮนด์ซ้ายได้ด้วย ใช้งานได้เด่นชัดบอกข้อมูลอย่างครบครัน
สุดท้ายนี้ Royal Enfield Guerrilla 450 จะมีจำหน่ายทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น ได้แก่ Analogue, Dash และ Flash ซึ่งแต่ละเวอร์ชันก็จะมีสีให้เลือกไม่เหมือนกัน
- สีเทาควันบุหรี่ Smoke Silver (Analogue – เรือนไมล์ผสมอนาล็อกและดิจิทัล) 5,290 ยูโร (207,xxx บาท)
- สีดำ Playa Black, สีทอง Gold Dip (Dash – หน้าจอสี TFT ) : 5,340 ยูโร (209,xxx บาท)
- สีเหลือง Yellow Ribbon, สีน้ำเงิน Brava Blue – (Flash- กับหน้าจอสี TFT) : 5,540 ยูโร (217,xxx บาท)
สรุป รีวิว Royal Enfield Guerrilla 450
สั้น ๆ สนุกแน่ แค่รอลุ้นราคา และการเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ประเทศไทย เพราะคันนี้เป็นรถที่ตอบโจทย์ได้หลากหลายการใช้งานมีความคล่องตัวสูง สมรรถนะเครื่องยนต์ที่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วกับ Himalayan 450 ทั้งยังเหมาะกับการใช้งานกับผู้ขับขี่ในระดับเริ่มต้น หรือจะมือตึงก็ยังสามารถสนุกได้ ด้วยความสูงเบาะที่ไม่สูงมากน้ำหนักเบา ช่วงล่างแบรนด์ดังจาก Showa แถมฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกก็ให้มาพอตัว เรียกว่าน่าจะคุ้มค่ากับราคาอย่างแน่นอน รอติดตามไว้ได้เลยคาดว่าภายในปีนี้ไม่พลาดแน่
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่