รีวิว 2025 CBR600RR นาทีนี้ต้องยกให้คันนี้
นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของเราที่ได้มาทดสอบ รีวิว 2025 CBR600RR ซูเปอร์สปอร์ตระดับตำนานจาก Honda กันที่สนามเซปัง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ประเทศมาเลเซีย ถือเป็นหนึ่งในสนามที่ถูกบรรจุในรายการแข่งขันรถมอเตอร์ไซค์ทางเรียบที่เร็วที่สุดในโลกอย่าง MotoGP มานานหลายปีจนถึงปัจจุบัน ซึ่งจัดเป็นสนามที่มีความพิเศษอีกสนามนึง ด้วยความยาวทั้งหมด 5.543 กิโลเมตร โค้งทั้งหมด 15 โค้ง ซ้าย 5 โค้ง และขวาอีก 10 โค้ง ทางตรงของสนามยาวสุด 920 เมตร วิ่งผ่านหน้าแกรนด์สแตนด์ของสนามเซปัง ทำให้การทดสอบครั้งนี้จะเป็นครั้งที่พิเศษที่สุดอีกครั้ง
ซึ่งกิจกรรมครั้งนี้ไม่ได้มีแค่เราเท่านั้น แต่ยังมีลูกค้า CBR Series ร่วม ๆ ครึ่งร้อยคันจากประเทศไทย ที่มาร่วมกิจกรรมนี้ด้วยกันในโปรเจกต์ CBR International 2024 ที่จะลงแทร็กระดับโลกไปพร้อม ๆ กับเรา โดยการแบ่งเป็นเซคชัน ตามฝีมือและความเร็วเพื่อความปลอดภัย จะว่าไปไทยฮอนด้าก็ใจป้ำไม่ธรรมดานะเนี่ย
เริ่มต้นวันแรกแบบที่ฟ้าไม่เป็นใจ ใช่ครับ ฝนตก โปรยปรายมาตลอดทั้งวัน ทีมงานฮอนด้าหายางฝนกันให้ควัก เพื่อที่จะนำมาใช้สำหรับการทดสอบในวันแรก โชคยังดีที่วันที่ 2 ฟ้าฝนเป็นใจได้ทดสอบยางสลิกหนึบ ๆ ทำให้การขับขี่ในแทร็กวันที่ 2 สนุกกว่า เร็วกว่า มันส์กว่า แบบคนละเรื่องกันเลย เดี๋ยวผมจะพูดให้ฟังทีละส่วนเลยแล้วกันว่าหลังทดสอบเสร็จแล้วเป็นยังไง…เริ่มได้
รูปลักษณ์
สไตล์ของตัวรถโดดเด่นเป็นที่รู้กันอยู่แล้ว มันคือ สปอร์ตไบค์ สายซิ่งจะนึกท่าขับทีไร ยังไงก็ต้องหมอบพุงติดถังอย่างแน่นอน โดยมีจุดเด่นที่ท่อออกท้ายรถด้านบนใต้ไฟท้าย โมเดลนี้ยังคงไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไรมาก หากเทียบกับโฉมก่อนหน้านี้ เด่น ๆ จะเป็นลวดลายสีสันของตัวรถ ซึ่งจะมีเส้นสายลวดลายที่สวยซิ่งมากยิ่งขึ้น ส่วนไฟหน้าคู่คงเดิม มีแรมแอร์ดักอากาศอยู่ระหว่างไฟหน้าคู่ และที่สำคัญคือวิงก์เลตขนาดเล็กที่บริเวณแฟริ่งด้านข้างที่ใช้งานได้จริง ๆ ไม่ได้ทำไว้เท่ ๆ
ตัวเรือนไมล์ที่ให้มาเป็นแบบ TFT แสดงสถานะต่าง ๆ ของตัวรถทั้งหมด ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ โหมดต่าง ๆ รวมไปถึงสถานะการชิฟต์เกียร์ (ชิฟต์ไลท์) มองง่ายชัดเจนดีในส่วนนี้ ส่วนการปรับตั้งค่าต่าง ๆ สามารถทำได้จากประกับทางด้านซ้ายได้เลย ในส่วนสรีระต่าง ๆ ยังคงเดิม ตัวท่อไอเสียที่ดีไซน์ขอด้านท้ายกลางลำก็ยังคงเดิม สวยซิ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวใครมองก็ต้องรู้
ท่านั่งการขับขี่ อย่างที่บอก คันนี้มันคือสปอร์ตไบค์พร้อมซิ่ง แฮนด์จับโช้คไม่ได้กว้างเกะกะจนเกินไป ถังน้ำมันเองก็มีการออกแบบมาให้เว้าจนเราสามารถหมอบติดตัวถังและใช้เข่าหนีบถังเข้าโค้งได้เป็นอย่างดี สำหรับคนสูง 165 – 170 ซม. หมอบได้แบบสบาย ๆ เลย
ส่วนตำแหน่งพักเท้าไม่ได้สูงจนเกินไป ยังคงให้ความสบาย เพราะมันเข่าไม่ชันขึ้นมามาก แต่มีคันนึงที่ได้ลองใส่พักเท้าแต่งมาแล้ว เมื่อได้ลองคร่อมก็ได้ฟีลลิ่งเรซซิ่งดี จัดทรงเทโค้งได้ฟีลลิ่งสปอร์ตมากขึ้น แต่เดิม ๆ ก็ถือว่าดีอยู่แล้ว สำหรับผมคิดว่าท่านั่งขี่คันนี้ไม่ได้ยากจนเกินไปที่จะใช้งานในชีวิตประจำวัน
ขุมพลัง
เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง พิกัด 599 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมกับเกียร์ 6 สปีด สั่งงานด้วยระบบคันเร่งไฟฟ้า ซึ่งทางค่ายเคลมกำลังแรงม้ามาที่ 119 แรงม้าที่ 14,250 รอบต่อนาที ส่วนแรงบิดจะเป็น 63 นิวตันเมตรที่ 11,500 รอบต่อนาที โดยสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในโมเดลนี้จะเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่ยกมาจากพี่ใหญ่อย่าง CBR1000RR-R Fireblade SP ซึ่งก็คือระบบประมวลผลแรงเฉื่อยแบบ 6 แกน หรือ IMU และระบบควิกชิฟเตอร์แบบสองทาง ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์เด็ดของโมเดลใหม่นี้เลย
ในวันแรกที่ฝนโปรยปรายลงมาแล้วเราต้องใช้ยางฝนลงไปในสนาม ด้วยความกลัวในใจลึก ๆ ทำให้คันเร่งและองศาของตัวรถ ไม่เข้ากันอย่างที่ควรจะเป็น ก็ได้ตัวระบบ IMU นี่แหละที่ช่วยในเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี แรก ๆ เปิดคันเร่งแบบกลัว ๆ แต่ไม่นานก็กล้าเปิดคันเร่งมากขึ้น รวมไปถึงการทำงานของแทรคชันคอนโทรลทำงานได้อย่างละเอียด ทำให้การทดสอบกลางสายฝนในวันแรกขับขี่ได้ดีกว่าที่เคยเป็น
วันที่สองฟ้าฝนเป็นใจได้ทดสอบแบบสนามแห้ง ช่วงเช้าเป็นช่วงที่ลังเลว่าจะใส่ยางฝนหรือยางสลิค กระทั่งโค้ชฟิล์มลงไปทดสอบสนามให้กลับขึ้นมา ฟันธงไม่ต้องใช้ยางฝนแล้ว ทำให้ได้ลองปรับโหมดมากขึ้น พาวเวอร์สูงขึ้น ลดแทรคชันลง เปิดคันเร่งได้เต็มขึ้น เครื่องยนต์ซูเปอร์สปอร์ตตัวนี้ยังคงเป็นเครื่องยนต์รอบจัด ลากรอบได้สูงทะลุ 14,000 รอบ เสียงเครื่องหวานเจี๊ยบ ความเร็วปลายที่ทำได้ ทะลุ 220 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในความยาวไม่ถึง 1 กิโลเมตร สำหรับเครื่องยนต์ตัวนี้ ถือว่าสมบูรณ์แบบ แต่ถ้าได้ท่อแต่งสักใบน่าจะดี ขี่สนุก เร้าใจ ขึ้นเยอะเลย
ช่วงล่าง
ไม่ต้องสีทองก็เอาอยู่ เพราะลองให้แล้ว คิดคำพูดตั้งแต่วาดขาลงมาจากรถคันนี้หลังจากได้เทสต์กับมันมา 2 วัน โช้ค Showa หน้า-หลัง ปรับเซ็ตค่าต่าง ๆ ได้ ส่วนระบบเบรกด้านหน้าก็จะเป็นดิสก์เบรกคู่พร้อมปั๊มเบรก Tokico แบบเรเดียลเมาท์ ด้านหลังจะเป็นดิสก์เบรกเดี่ยว เอาอยู่ เซปังเป็นสนามที่มีโค้งความเร็วสูง อย่างเช่นโค้ง 3 ที่เป็นโค้งขวาเดินคันเร่งยาว ๆ และ โค้ง 5-6 ที่เป็นโค้งต่อเนื่อง จะจับฟีลลิ่งช่วงล่างได้เป็นอย่างดีมีความเนียนขี่ง่าย ส่วนโค้งหักศอก อย่าง 1-2 ที่เป็นโค้ง S ก็ขี่สนุกพลิกรถได้ไว้ไม่เหนื่อย
โช้คอัพชุดนี้ส่วนตัวถือว่าทำออกมาได้ดีเลย ถ้าใครมีความรู้เรื่องปรับตั้งค่าได้ก็อาจจะเข้ามือได้เร็วกว่าพวก ส่วนปั๊มเบรกคู่ ระบบเบรกทั้งหมด ไม่ติอะไรมากถือว่าทำได้ดี แม้จะไม่ได้ดีมากอย่างค่ายยุโรปบางแบรนด์ที่ราคาแรง ๆ แต่คือคันนี้มี IMU มาช่วยรักษาสมดุลของตัวรถทำให้ตัวรถเบรกได้ดีขึ้น จะคันเร่งหนัก เบรกหนัก เอาอยู่แม้กระทั่งเบรกในโค้ง ก็ยังสามารถทำได้ ซึ่งก็ไม่แปลก รถต้องช่วยคนบ้างจ่ายมาเยอะก็ช่วย ๆ กันหน่อย
ส่วนเทคโนโลยีที่มีนอกเหนือไปจากคันเร่งไฟฟ้า ระบบ IMU 6 แกน และระบบควิกชิฟเตอร์ ที่ยังไม่ได้กล่าวถึงก็ยังมีอีกหลายเรื่อง แต่ยังไม่ได้ลองใช้งานจริงจังมากนัก ก็จะมีระบบเบรก ABS โหมดการขับขี่ 5 โหมด ซึ่งก็ถือว่าให้มาเยอะพอสมควร เหมาะกับสไตล์ของรถอย่างมาก
ถือเป็นซูเปอร์สปอร์ตที่คุ้มที่สุดในไทยตอนนี้
โอ้วเธอหวานเจี๊ยบ ถ้าให้เลือกคันนี้มาลงสนามแข่ง คันนี้คงเป็นที่ขี่ง่าย เซ็ตติ้งง่ายคันนึง ทั้งกำลังเครื่องยนต์ ช่วงล่าง รวมถึงการต่อยอดการโมดิฟาย ก็ทำได้ง่าย ๆ ไม่พลาดที่จะอยู่เป็นตัวเลือกต้น ๆ ของผมรวมถึงใครหลาย ๆ คน แต่ถ้าจะให้พูดถึงการใช้งานในชีวิตประจำวันมันก็ยากหน่อย นอกจากจะมีสกู๊ตเตอร์ไว้ใช้งานในเมืองสักคันแล้วมีคันนี้เป็นคันที่สองไว้ขี่เล่นกินนมชมวิวเมืองหล่อ ๆ ตอนรถไม่ติดก็ตอบโจทย์ ตอบสนองกิเลสได้แน่นอน
สุดท้ายนี้การได้มาทดสอบ รีวิว 2025 CBR600RR คันนี้ที่นี้ถือเป็นการการันตีถึงสมรรถนะของเจ้าคันนี้ได้อย่างเป็นอย่างดีแน่นอน ทั้งแรง ทั้งคล่องตัว คุ้มค่ากับราคา 549,000 บาทกับที่โรงงานฮอนด้าให้มา แต่ถ้าจะให้คุ้มไปอีกก็คงหนีไม่พ้นกิจกรรมที่ไทยฮอนด้าเขาจัดให้ทั้งแทร็กเดย์ในประเทศ และครั้งนี้จัดนอกประเทศให้ขนรถตัวเองมาให้ขี่ถ่ายรูปหล่อ ๆ ให้อีก ผมถึงบอกไงว่า คันนี้ละคือ “ซูเปอร์สปอร์ตที่คุ้มที่สุดในไทยตอนนี้”
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่



















