รีวิว Classic 650 คลาสสิกไซส์กลาง ราคาสวย ฟีลลิ่งดีจัด!
เปิดตัวได้กระแสดีมากกับโมเดลใหม่จาก Royal Enfield จึงไม่รอช้า จัดการทดสอบขับขี่สำหรับให้นักบิดได้ รีวิว Classic 650 โมเดลใหม่กันแบบเต็มทริป ซึ่งเราได้ลองสมรรถนะครบถ้วนแล้ว..บอกเลยว่า “เซอร์ไพรส์” แต่จะเรื่องอะไรบ้าง? ..สรุปมาให้ในโพสท์นี้ครบ ๆ !!
1.หนักมากแล้วจะขี่ดีมั้ย?
ด้วยความที่บอดี้ Classic 650 ทำด้วยโลหะแทบจะทั้งคัน ทำให้มีประเด็นคำถามถึงน้ำหนักตัวขนาด 243 กก. ว่าจะมีผลให้เกิดความอืดอาด เทอะทะไม่คล่องตัวขนาดไหน?
สุดท้ายพอได้ลองขี่ ผ่านไปแค่ 3 โค้งแรก ก็เข้าใจถึงความตั้งใจพัฒนารถของรอยัลเอ็นฟีลด์เลยครับ เพราะเรื่องน้ำหนักถูกผลของการดีไซน์มิติโดยเฉพาะเมนเฟรมที่กำหนดการติดตั้งเครื่องยนต์ไว้ในจุดสมดุล ทำให้สรีระของมอเตอร์ไซค์คันนี้มีความกระชับพอดีไม่ขาดไม่เกิน ขี่แล้วสัมผัสได้ถึงความคล่องตัว แตกต่างจากรถคลาสสิกทั่ว ๆ ไปที่เราคุ้นเคย
ระยะความกว้างแฮนด์ 892 มม. จับด้วยตุ๊กตาแฮนด์ที่มีลักษณะยกเยื้อง ส่งแฮนด์ยื่นเข้าหาตัวผู้ขับขี่ ขณะที่ตำแหน่งวางเท้าอยู่ในลักษณะกึ่งกลางรถ เบาะนั่งทรงอานม้า (สูง800มม.) ทำองศาไว้รับและล็อคตำแหน่งนั่งในจุดที่กำลังเหมาะ ส่งผลให้ได้มิติท่านั่งที่หลังผู้ขี่ค่อนข้างตรง ทำให้ควบคุมรถได้ง่ายมากครับ แถมยังไปได้สวยกับเส้นทางโค้งยาก ๆ ขึ้น-ลง เขาใหญ่ เพราะสามารถบังคับเลี้ยวรถได้พลิ้ว สมูท ไม่มีความรู้สึกว่าเทอะทะหรือทื่อในโค้งเลย…อันนี้โคตรชอบ!
2.ช่วงล่างธรรมดาไปมั้ย?
ถ้าไม่ได้ขี่อาจจะไม่เข้าใจ แต่หลังจากหวดไปกว่า 150 กม. บนเส้นทางรอบ ๆ “เขาใหญ่” รวมทั้งตะบึงไปบนถนนมิตรภาพ ในฐานะผู้ทดสอบเองก็เข้าใจและได้คำตอบเลยว่า รอยัล เอ็นฟีลด์ มา “ถูกทาง” แล้วกับการจับมือ SHOWA เพื่อพัฒนาระบบกันสะเทือนของรถพวกเขา เนื่องจากการทดสอบครั้งนี้ เราพบว่าข้อโดดเด่นอันดับแรก ๆของ Classic 650 คือ “ระบบกันสะเทือน” นี่เอง
จากโช้คหน้าเทเลสโคปิค แกน 41 มม. ช่วงยุบ 120 มม. กับโช้คหลังคู่ ช่วงยุบ 112 มม. ให้ฟีลลิ่งที่นุ่มนวลและทรงตัวดีมากในการขี่ทางตรงทั่ว ๆ ไป และสภาพทางหลุมบ่อ (ที่ผู้จัดจงใจพาเราไป) และเมื่อผู้ขับขี่ต้องพึ่งพาช่วงล่างอย่างเข้มข้นในช่วงขึ้นเขา-ลงเขา ต้องเข้าโค้งที่มีการพลิกรถไว ๆ รวมทั้งโค้งไฮสปีดที่ผู้จัดวางรูทให้ได้ทดสอบใช้ความเร็วกันในเส้นปากช่อง-วังน้ำเขียว
หลังจากผ่านมาครบทุกสภาพการทดสอบ อยากบอกว่าตัวผู้ทดสอบเองถึงขนาดร้องว้าว!! ออกมาดัง ๆ ในหมวกกันน็อค เพราะ Royal Enfield เขาเซ็ทอัพมาได้ดีจริง ตัวรถไม่มีคำว่ายวบ-เด้งในโค้ง แต่สามารถเลี้ยวเข้าไปในไลน์ด้วยความเร็วได้อย่างหนึบนึ่ง..โค้งไหนก็สอบผ่าน! เจอแบบนี้บางทีก็แอบสงสัยว่านี่มันรถคลาสสิกแน่หรอเนี่ย!!
3.แรงแค่ไหน สะท้านหรือเปล่า?
อีกหนึ่งประเด็นที่โรยัล เอ็นฟีลด์ สร้างความอึ้งให้ฟีลลิ่งของ Classic 650 ก็คือ “พละกำลัง” จากเครื่องยนต์ 2 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยอากาศ พิกัด 648 ซีซี. ที่ให้แรงม้าสูงสุดขนาด 47 ตัว และเมื่อทดสอบจริงในทริปนี้ เราพบว่าม้าฝูงนี้ถูกปล่อยออกมาให้วิ่งแบบ “ไม่อั้น” ผ่านชุดเกียร์ 6 สปีด ซึ่งออกแบบระยะเกียร์มาให้กว้าง ไม่ใช่ฟีลลิ่งของเกียร์แบบรถคลาสสิกที่คุ้นเคย
ช่วงเกียร์ที่กว้างแบบนี้ หมายถึง Classic 650 เป็นรถเอาไปขี่ออกทริปได้โคตรดี ที่สำคัญคือเปิดโอกาสให้เราไล่เกียร์ลากความเร็วช่วงปลายที่สามารถกดให้วิ่งทะลุ 160 กม./ชม. ได้ง่ายๆ และยังไหลขึ้นไปได้เยอะ!! ..ว่ากันตามตรงกับทริปทดสอบครั้งนี้หากไม่มีปัจจัยสภาพจราจรหนาแน่นรวมถึงความมืดที่บดบังทัศนวิสัย ในช่วงทดสอบฟรีรัน แอบคิดว่า Classic 650 อาจจะวิ่งจมไมล์ก็เป็นได้!!
ส่วนอาการสะท้านของเครื่องยนต์ จับได้ว่ามีให้รู้สึกในรอบกลางเล็กน้อย แต่นอกจากนั้นการมีบาลานซ์ชาฟต์ก็ช่วยให้ Classic 650 เก็บอาการของเครื่องยนต์ได้นิ่งแม้จะกดความเร็วสูงก็ตาม
4.ดีไซน์เป็นไง?
บนพื้นฐานของมอเตอร์ไซค์คลาสสิกที่รอยัลเอ็นฟีลด์สานต่อดีไซน์ตำนานของตัวเอง ซึ่งเป็นความต่อเนื่องมายาวไกลตั้งแต่ยุค 1932 (และเป็นแบรนด์แรกที่คิดค้นสวิงอาร์มของรถมอเตอร์ไซค์) ขณะที่การเดินหน้าขยายความงดงามของรุ่น Classic ที่เปิดตัวไว้เมื่อปี 2008 มาสู่ Classic 650 รุ่นปัจจุบัน
ถือว่างานดีไซน์จัดมาอย่างตั้งใจ ทำให้ความโค้งมนของตัวรถดูลงตัวทุกสัดส่วน โดยเฉพาะการปัดเงาชิ้นงานในหลาย ๆ จุด รวมทั้งการเลือกโลหะ นิกเกิล-อลูมิเนียมซึ่งให้ความเงางามและแข็งแรงขึ้น ขณะที่พาร์ทและงานประกอบก็ได้รับการยกระดับให้ปราณีตและดูดีขึ้นอย่างชัดเจน
5.มีฟังก์ชั่นอะไรบ้าง?
ส่วนองค์ประกอบด้านฟังก์ชั่น ให้มาไม่เยอะมาก (เนื่องจากสไตล์รถ) แต่ก็เพียงพอสำหรับอำนวยความสะดวกให้ผู้ขี่
ชุดกระจกมองข้างทรงกลม ชุบโครเมียม ปรับองศาง่ายเบามือ มาเป็นเซ็ทกับปะกับแบบโลหะ ตุ๊กตาแฮนด์โลหะปัดเงาและมือเบรกมือคลัตช์แบบปรับค่าได้สะดวก
ชุดไฟหน้า-ไฟท้าย-ไฟหรี่ เป็น LED ส่วนไฟเลี้ยวเป็นหลอดไส้
ชุดเรือนไมล์ เป็นแบบไฮบริด ใช้เข็มบอกความเร็วที่มีทั้งมาตรวัดแบบกิโลเมตรและแบบไมล์ พร้อมจอดิจิทัล LCD เล็ก ๆ ด้านล่าง มีเลขเกียร์ให้ มีนาฬิกา เซ็ททริปได้ รวมระดับน้ำมันเชื้อเพลิง (ถังน้ำมันจุ 14.8 ลิตร) และยังมีจอทริปเปอร์ที่ใช้ร่วมกับแอพฯ เพื่อนำทางแบบ Turn-by-Turn
สุดท้ายคือปะกับแฮนด์ด้านขวา มีพอร์ท USB-C ติดตั้งมาพร้อมฝาปิดซ่อนไว้อย่างกลมกลืน
6.มีอะไรไม่ถูกใจมั้ย?
จากมุมมองของนักทดสอบ ถึงแม้ Classic 650 จะมีจุดเด่นและข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีข้อสังเกตที่จะสะท้อนกลับมาสู่รถรุ่นนี้อยู่ 3-4 เรื่อง
– ระบบเบรก ควรเป็นดิสก์หน้าคู่มากกว่า เพราะจะเหมาะสมกับการเบรกรองรับความแรงและน้ำหนักของตัวรถที่ค่อนข้างมาก ซึ่งเราก็รู้กันว่าความเร็วและแรงเฉื่อยจากน้ำหนักของรถก็มีผลต่อระยะเบรก
– ควรมี TCS หรือระบบแทรคชันคอนโทรลมาให้ เนื่องจากรถในคลาส 650 ซีซี แบบนี้ อาจมีเหตุให้อาการท้ายขวางจากสภาวะวิกฤตของสภาพถนนได้
– หากมีวงล้อสำหรับคัสตอมหรือติดตั้งล้อซี่ลวดแบบยกขอบกลางหรือแทงข้าง เพื่อให้ใส่ยาง Tubeless ได้ ก็จะลงตัวที่สุด
7.คุ้มค่ามั้ย?
สุดท้ายแล้ว เมื่อเทียบกับภาพลักษณ์ สมรรถนะและสิ่งที่ได้ บนราคาค่าตัวที่เปิดมา 249,900 บาท ในรุ่นสีแดง Vallam Red และสีน้ำเงิน Bruntingthope Blue / ราคา 259,900 บาท ในรุ่นสีดำ Black Chrome …อยากสรุป & ฟันธงไว้ตรงนี้เลยว่า หากคุณชอบรถสไตล์ Classic ที่มีรากเหง้า ที่มาที่ไปชัดเจน มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง Royal Enfield Classic 650 คันนี้ถือว่าเล่นได้ครับ..คุ้มแน่!!
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่


















