Skip to content
รีวิว Honda 650 E-Clutch Series – CBR650R vs CB650R
“พัฒนามาเพื่อให้นักบิดเข้าถึงรถบิ๊กไบค์ได้ง่ายขึ้น” ประโยคข้างต้นเป็นคำยืนยันวิถีของมอเตอร์ไซค์ Honda ได้เป็นอย่างดี และยิ่งตอกย้ำเมื่อเรารีวิว Honda 650 E-Clutch Series CBR650R vs CB650R แบบเต็มทริป เรียกได้ว่าถ้าใครได้ลอง…ต้องชอบ แต่คันไหนละที่เหมาะกับสไตล์ของคุณมากที่สุด บทความนี้เรามีคำตอบ
E-Clutch คืออะไร?
อี-คลัตช์ คือ เทคโนโลยีควบคุมระบบคลัตช์ของเครื่องยนต์ะด้วยไฟฟ้า ซึ่งภายในชุดคลัตช์มีมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ทำหน้าที่ขับเฟืองดึงก้านคลัตช์ตามคำสั่งของ MCU (Motor Control Unit) ที่ทำงานร่วมกับกล่อง ECU ซึ่งประมวลผลจากเซนเซอร์ในต่าง ๆ โดยเฉพาะจากควิกชิฟเตอร์แล้วสั่งการให้รถ “กำคลัตช์” แทนเราเพื่อเปลี่ยนเกียร์
ระบบนี้ทำงานร่วมกับออปชันตัวสำคัญอย่างควิกชิฟเตอร์ (เซ็ตได้ 3 ระดับ แข็ง-กลาง-อ่อน) ซึ่งถือเป็นของที่ขาดไม่ได้ในความราบรื่นของ E-Clutch หรือถ้าใครเผลอกำคลัตช์ก็จะเป็นเหมือนการตัดเข้าระบบแมนวล และรถจะกลับสู่ E-Clutch ใน 2 วินาที ในตอนที่ใช้รถด้วยความเร็วสูง และจะใช้เวลาประมาณ 5 วินาทีขณะใช้ความเร็วต่ำ
อี-คลัตช์ยังให้ความรู้สึกนุ่มนวล ทุก ๆ เกียร์เปลี่ยนได้ง่ายดายไม่มีรอยต่อหรือสะดุด ขี่ความเร็วต่ำหรือซอกแซกการจราจรก็ไม่ต้องพะวักพะวงกับการคอยกำคลัตช์เพราะกลัวรถดับ สามารถเข้าจอดในเกียร์ไหนก็ได้ โคตรสะดวก แน่นอนว่าใครอยากปิดระบบสามารถเข้าไปสั่งปิดระบบ ได้จากเมนูหน้าจอ สำหรับผู้ทดสอบขอยืนยันอีกครั้งว่าระบบนี้ช่วยให้มือใหม่สนุกกับบิ๊กไบค์ได้ง่ายขึ้นหลายเท่าตัวเลย
ขุมพลัง 4 สูบเรียง
รถทั้ง 2 คัน ใช้เครื่องยนต์ รายละเอียดการขับเคลื่อน อัตราทดและเฟรม เหมือนกัน กล่าวคือ ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ มาตามสูตร “ลูกโต ชักสั้น” ลูกสูบ 67 มม. ช่วงชัก 46 มม. ได้ปริมาตร 648.72 CC กำลังอัด 11.6 : 1 กำลังสูงสุด 94 แรงม้า ที่ 12,000 รอบ/นาที ปล่อยม้าลงพื้นด้วยเกียร์แมนวล 6 สปีด ลองขี่ต่อเกียร์ จับฟีลลิ่งได้ว่าระยะเกียร์ค่อนข้างชิดตามคาแรคเตอร์สปอร์ต
สิ่งที่สัมผัสได้จากทั้ง 2 รุ่นในการทดสอบครั้งนี้ คือ 650 ซีรีส์ขี่สนุกขึ้น แมปปิ้งมาให้มีความสมูททั้งระบบ บิดคันเร่งเรียกกำลังออกมาใช้งานได้อย่างต่อเนื่องราบรื่น ไม่กระโชกโฮกฮากแบบตัวเก่า รองรับความเนียนอีกขั้นด้วยสลิปเปอร์คลัตช์ + ควิกชิฟเตอร์ รวมถึงแทรคชั่นคอนโทรล HSTC (เปิด-ปิดได้จากปุ่มปะกับแฮนด์ซ้าย) เมื่อรวมความสะดวกสบายจาก E-Clutch ก็ยิ่งทำให้ตกหลุมรัก 650 Series ได้ง่าย ๆ เลยล่ะ
มิติ-การควบคุม
CBR650R E-Clutch
โฉมใหม่ดีไซน์อัปเลเวล “สปอร์ตฟูลแฟริ่ง” ท้ายสวย หน้าหล่อ เสริมความลงตัวด้วยหน้าตาเท่ ๆ ด้วยระบบไฟ Full LED ที่เต็มไปด้วย DNA ตระกูล CBR ขึ้นไปขี่ก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีการปรับตำแหน่งถังน้ำมันใหม่ รับกับช่วงเข่าหนีบถังได้พอดีมาก ๆ
ความสูงเบาะ 810 มม. กับผู้ทดสอบที่มีความสูง 160 ซม. ยังลงปลายขาได้แม้จะบัลเลต์นิดหน่อย แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการขับขี่เพราะการออกแบบตำแหน่งแฮนด์ลิ่งโดยรวมดีมาก น้ำหนักสุทธิของรถแค่ 207.8 กก. ถือว่าเบาพอสมควร
แฮนด์ต่ำจับโช้ค ระยะแฮนด์กว้าง 749 มม. กับระยะฐานล้อ 1,449 มม. ให้ฟีลลิ่งการขี่ได้สปอร์ตและเลี้ยวกระชับคมกว่าตัวเก่า แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นรถเน้นขี่แทร็คมากนัก เนื่องจากการออกแบบเน้นความคล่องตัว รองรับการใช้งานได้หลากหลาย ดังนั้นท่านั่งที่เราใช้เวลากับรถออกทริปหลายร้อยกิโลเมตรพบว่าฮอนด้าดีไซน์ให้เอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ดีด้วย ขี่ไกลแล้วแทบไม่เมื่อย
CB650R E-Clutch
ต่างจากรุ่น CBR อย่างชัดเจนในด้านการควบคุม เนื่องจากท่านั่งเป็นแบบ Naked Sport ไม่ได้ก้มมากนัก ชุดแฮนด์ใส่ตุ๊กตาแฮนด์ยกขึ้นมา พร้อมแฮนด์บาร์กว้าง 784 มม. ขึ้นคร่อมรถแล้วจับแฮนด์จะรู้สึกว่าต้องกางแขนมากกว่า นั่งหลังตรงกว่า แม้จะมีตำแหน่งเบาะนั่งสูงเท่ากัน 810 มม.
แต่น้ำหนักเบาเพียง 203.4 กก. พร้อมระยะฐานล้อ 1,449 มม. ร่วมด้วยช่วงหน้าที่มีความหนืดน้อยกว่า CBR650R ทำให้การขับขี่รถรุ่นนี้เบามือ คล่องตัว เลี้ยวง่าย ใช้งานในเมืองตามสไตล์สายสปอร์ตเปลือยก็ตอบโจทย์
ช่วงล่าง
ทั้งสองรุ่นใช้พื้นฐานเดียวกัน โช้คหน้าหัวกลับ Showa SFF-BP ขนาดแกน 41 มม. โช้คหลังเดี่ยว ปรับพรีโหลดได้ 10 ระดับ ฟีลลิ่งช่วงล่างทั้งคู่โดยรวม นุ่ม-หนึบดีมาก ทรงตัวดี จากการนำไปขับขี่ช่วงทางโค้งก็เลี้ยวได้คม ไม่โยน อย่างไรก็ตามส่วนตัวผู้ทดสอบรู้สึกว่าในรุ่น CBR650R มีการเซ็ทติ้งระบบกันสะเทือนให้แข็งกระชับกว่าอยู่เล็กน้อย เหตุผลก็คงเป็นเรื่องรองรับการนำไปขี่สไตล์สปอร์ตหรือลงแทร็คบ้างตามโอกาสนั่นเอง
“ทั้งนี้ รีวิว Honda 650 E-Clutch ด้วยการนำมาขี่ออกทริปทดสอบระยะไกล ทำให้ได้คำตอบว่าช่วงล่างคือหนึ่งในจุดเด่นหลัก ๆ ของ 650 E-Clutch Series ก็ว่าได้ เพราะขี่ยาว ๆ จบทริปได้อย่างมั่นใจจริง ๆ”
ระบบเบรกเยี่ยม
ด้วยคาแรคเตอร์รถสปอร์ต ทำให้ฮอนด้าเห็นความสำคัญของระบบหยุดความเร็ว เบรกหน้าดิสก์หน้าคู่ จับด้วยคาลิเปอร์เรเดียลเมาท์ Nissin 4 ลูกสูบ ขณะที่เบรกหลังดิสก์เดี่ยว คาลิเปอร์เดี่ยว
จากการทดสอบวางสถานีเบรกและเบรกตามสถานการณ์จริง ได้คำตอบว่าระบบเบรกมีการปรับเซ็ตไล่น้ำหนักเบรกมาใหม่ให้สมูทขึ้น ผลที่ได้คือไม่ว่าจะกำเบรกแรง ๆ จนระบบไฟ ESS กระพริบ หรือค่อย ๆ กำก้านเบรก ก็ได้ผลการหยุดรถที่พอเหมาะพอดี แถมยังมี ABS 2 ชาแนลเสริมความปลอดภัยเข้ามาอีกระดับ การตัดล้อล็อกทำได้ฉับไวและละเอียดขึ้นชัดเจน
ฟังก์ชั่นดี
ความจุถังเชื้อเพลิงความจุ 15.4 ลิตร เท่ากันกันทั้งสองรุ่น ส่วนชุดกระจกมองข้างมีความพิเศษในรุ่น CBR650R เนื่องจากสามารถพับเก็บได้สะดวกแบบ Tool Less หรือไม่ต้องใช้เครื่องมือ
ส่วนรุ่น CB650R กระจกมองข้างเป็นแบบปกติ แต่ได้ชุดโคมไฟหน้าเท่ ๆ แบบตัวพัน โดยมีไฟ DRL ล้อมวงเป็นกรอบให้โคมดวงหลักพร้อมชุดดักลมแนบมา 2 ฝั่งของถังเชื้อเพลิง
หน้าปัดทั้งคู่ได้จอสี 5 นิ้ว TFT เชื่อมต่อ Road Sync ใช้งานร่วมกับแอพ Honda RoadSync ควบคุมและสั่งการด้วยปุ่มปะกับเร่งแบบ 4 ทิศทางที่แฮนด์ฝั่งซ้าย สามารถเซ็ททริป A-B /อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย-เรียลไทม์ หรือจะเลือกระบบการแสดงผลน้ำมันเป็นระยะทางที่เหลือก็ได้ ที่สำคัญเราเลือกให้หน้าจอเปลี่ยนแบ็คไลต์ออโตเมติก ปรับตามสภาพแสง กลางวัน-กลางคืนได้อย่างง่ายดาย
การใช้งานฟังก์ชั่นหน้าจอ สามารถเข้าไปปรับตั้งค่าการทำงานของควิกชิฟเตอร์ได้ 3 ระดับ อ่อน กลาง แข็ง ได้อีกต่างหาก ราคาจำหน่ายแนะนำ รุ่น CBR650R E-Clutch = 347,300 บาท ส่วนรุ่น CB650R E-Clutch = 332,100 บาท และยังมีรุ่นปกติให้เลือก
ควรเลือกคันไหนดี?
ตอบให้ตรงนี้ว่า…ขอจิ้มไปที่ CBR650R E-Clutch เพราะเป็นสปอร์ตฟูลแฟริ่งที่ซิ่งแล้วตรงใจสายเที่ยวเกินคาด!!
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่
