รีวิว NMAX Tech MAX 2025 ล้ำสุด
สำหรับการรีวิว NMAX155 Tech MAX 2025 สกู๊ตเตอร์สุดสปอร์ตน้องเล็กจากตระกูล MAX Series เราได้มีโอกาสมาทดสอบกันถึงที่สนามแข่งแก่งกระจานเซอร์กิต จ.เพชรบุรี กันเลย เรียกว่ามีที่มีทางให้เค้นสมรรถนะรวมถึงทดสอบและทำความเข้าใจกับระบบใหม่ของโมเดลนี้กันอย่างชัดเจนเห็นชัดถนัดถนี่ เพื่อที่จะได้มาชี้แจงแถลงไขให้แฟน ๆ ชาว MTC ได้รับรู้ข้อมูลก่อนตัดสินใจเลือกซื้อรถได้อย่างสนิทใจกัน
Max DNA Styling Design
แฟริ่งดีไซน์ใหม่หมดรอบทั้งคันสไตล์ MAX กระชับมากยิ่งขึ้น ให้ความรู้สึกโฉบเฉี่ยวเพรียวบางดูพรีเมียมสปอร์ตมากกว่าเดิม ไฮไลท์อยู่ที่ ชุดโคมไฟหน้าแบบ Full LED Projector ที่ให้ความส่องสว่างได้ดีเยี่ยมและ เข้ากันได้อย่างเรียบเนียนในชุดแฟริ่งหน้าที่ออกแบบมาใหม่ รวมไปถึงไฟเลี้ยว ไฟท้าย ที่ถูกออกแบบในลักษณะบิลต์อินลงตัวดุดันมากยิ่งขึ้น แฟริ่งด้านข้างออกแบบใหม่มาในรูปทรงบูมเมอแรงเฉียบคมมีเส้นสายที่สอดคล้องไปกับตำแหน่งของเครื่องยนต์เพื่อทำให้ตัวรถดูมีกำลังมากยิ่งขึ้น โดยรวมแล้วลงตัวและสวยงามดูล้ำสมัยมาก
เรือนไมล์ใหม่แบบ Double Display ผสมผสานระหว่างจอแบบ LCD ขนาด 3.2 นิ้ว เข้ากับจอสีแบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้ว ออกแบบได้สวยงามและลงตัวเข้ากับตัวรถพร้อมบอกข้อมูลแบบครบคันตามมาตรฐานของเรือนไมล์ในยุคปัจจุบันที่มีครบหมดจบ และรองรับการเชื่อมต่อ แอปพลิเคชัน Yamaha Y Connect และ Garmin Streetcross ที่จะเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้น
แรงล้ำกว่าใคร
เครื่องยนต์ยังคงพื้นฐานเดิม เครื่องยนต์ Blue Core สูบเดียวระบายความร้อนด้วยน้ำ ปริมาตรกระบอกสูบ 155.09 ซีซี แบบ SOHC 4 วาล์ว จ่ายน้ำมันด้วยหัวฉีด พร้อมระบบวาล์ว VVA ให้พละกำลังสูงสุด 15.15 แรงม้าที่ 8,000 รอบต่อนาทีและแรงบิดสูงสุด 14.2 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบสายพาน เกียร์อัตโนมัติ และมีถังน้ำมันขนาด 7.1 ลิตร
ไฮไลท์ของเครื่องยนต์บล็อกนี้อยู่ที่เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดจากทาง Yamaha กับระบบส่งกำลังอัตโนมัติอิเล็กทรอนิกส์ “YECVT” Yamaha’s Electronic Continuously Variable Transmission ประมวลผลและสั่งการผ่านระบบ ECU เพื่อปรับอัตราทดช่วยในการเร่งแซงและชะลอความเร็ว ให้มีประสิทธิภาพเหมาะสมกับการใช้งานของผู้ขับขี่
หลักการทำงานของ YECVT
หลังจากกล่องควบคุมส่งกำลัง YECVT รับคำสั่งจากการเลือกฟังก์ชันโดยผู้ขับขี่ จะทำการประมวลผลและส่งสัญญาณไปยังมอเตอร์ YECVT เพื่อทำการขับเฟืองชุดสายพานหน้าแทนที่ตุ้มแรงเหวี่ยง ทำให้สายพานเคลื่อนที่ตามความเหมาะสมจากการตรวจจับ “เซ็นเซอร์จับตำแหน่งล้อขับสายพานหน้า” และ “เซ็นเซอร์วัดความเร็วล้อขับสายพานหลัง” โดยจะส่งข้อมูลให้ ECU ประมวลผลเพื่อปรับการทำงานของชุดส่งกำลังให้มีอัตราทดสอดคล้องกับการขับขี่มากยิ่งขึ้น
ฟังก์ชันในระบบ YECVT
ฟังก์ชันแรกคือ Riding Mode Function โหมดการขับขี่ที่สามารถเลือกได้ 2 โหมด T (Town Mode) และ S (Sport Mode) ที่ประกับด้านซ้ายมือ ตามความต้องการของผู้ขับขี่ ทั้งสองโหมดจะมีการตอบสนองในเรื่องของพระกำลังและรอบเครื่องยนต์ที่แตกต่างกัน เพิ่มความเร้าใจในการขับขี่มากยิ่งขึ้น
ฟังก์ชันที่ 2 คือ Shift Down Function ฟังก์ชันนี้จะปรับอัตราทดชุดส่งกำลัง ทำได้ทั้งเพิ่มอัตราเร่งเพื่อการเร่งแซงและสร้าง Engine Brake เพื่อการชะลอความเร็ว ใช้งานได้ 2 รูปแบบ ทั้งนี้จะสามารถทำได้ 3 ระดับ ผ่านปุ่ม Shift ที่ประกับด้านซ้ายมือด้านล่างสุด
ทั้งนี้หลักการทำงานของ Shift Down Function จะแบ่งเป็น 2 รูปแบบ ดังนี้
แบบแรก คือหากต้องการเพิ่มกำลังเพื่อการเร่งแซง ให้บิดคันเร่งเพิ่มความเร็วพร้อมกดปุ่ม Shift ระบบจะทำการเพิ่มความเร็วขึ้นด้วยการเปลี่ยนอัตราทดที่จานขับด้านหน้าทำให้รอบเครื่องยนต์ถูกดันสูงขึ้นและสามารถพุ่งทะยานไปได้เร็วมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สามารถเพิ่มได้ทั้งหมด 3 ระดับ โดยหากมีการปิดคันเร่งระบบจะกับมารีเซ็ทเริ่มใหม่ทันที
แบบที่สอง คือหากต้องการลดความเร็วเรียกใช้ Engine Brake ผู้ขับขี่ ปิดคันเร่ง เพื่อทำการชะลอความเร็ว สามารถกดปุ่ม Shift เพื่อเปลี่ยนอัตราทดเพื่อสร้าง Engine Brake สามารถปรับได้ 3 ระดับ โดยมีความหน่วงที่แตกต่างกันตามระดับที่เลือก และเมื่อกับมาเปิดคันเร่งระบบก็จะทำการรีเซ็ทเพื่อกับเข้าสู่โหมดพร้อมเร่งอีกครั้ง
หลังจากผ่านการทดสอบ ณ สนามแก่งกระจานเซอร์กิต ในรูปแบบ Racing ด้วยสนามที่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศจึงมีจุดที่สามารถทดสอบสรรมถนะของระบบ YECVT ได้มากพอสมควร จุดแรกในเรื่องของโหมดการขับขี่ทั้ง 2 โหมด มีความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดในเรื่อง อัตราเร่ง T MODE (Town Mode) มีความเหมาะสำหรับการใช้งานภายในเมืองขับขี่ทั่วไปชิลล์ ๆ ไม่ต้องการอัตราเร่งที่โดดเด้งมากเกินการควบคุม รอบต่ำกว่าโหมด S อยู่ที่ 1,000 รอบ ส่วน S MODE (Sport Mode) เหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ต้องการความคล่องตัวในการใช้งานเพื่อการขับขี่ที่สนุกและเร้าใจมากยิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราเร่งใช้สำหรับในการเดินทางไกล เร่งทำเวลาน่าจะเหมาะมาก
ส่วนเรื่อง Shift Down Function ทดสอบใช้งานอย่างละเอียดเป็นอีกหนึ่งระบบที่เข้ามาช่วยให้การขับขี่ทำได้คล่องตัวและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น สำหรับการใช้งานในการเพิ่มอัตราเร่งด้วยการ Shift จะเห็นได้ชัดว่ามีการกระชากของความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเป็นการปรับอัตราทดทำให้รอบเครื่องยนต์กวาดขึ้นมาและช่วยให้พละกำลังเพิ่มขึ้น ที่น่าสนใจคือการที่ต้องนำไปใช้ดันเนินหลังออกจากโค้ง 9 การที่สามารถ Shift เพิ่มพละกำลังได้ก็จะเห็นได้ว่าช่วยในการดันเนินได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ส่วนในการลดความเร็วด้วย Engine Brake ด้วยการ Shift จากการยกคันเร่งก็สามารถช่วยให้การหยุดรถก่อนเข้าโค้งทำได้ดีมากยิ่งขึ้นมั่นใจและปลอดภัยขึ้น เหมาะมากกับสถานการณ์การลงจากทางชันมาก ๆ ที่เป็นปัญหาหลักมายาวนานของรถ Automatic ระบบฟังก์ชันนี้ก็เข้ามาช่วยเพิ่มความปลอดภัยได้มากขึ้น
ช่วงล่างเด่นที่เบรก
ช่วงล่างของทางค่ายใช้เฟรมแบบอันเดอร์โบน มีโช้คหน้าแบบเทเลสโคปิกและโช้คหลังคู่ ส่วนเบรกจะเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง พร้อมระบบเบรก ABS แบบ 2 ชาแนล ส่วนล้อจะเป็นล้อแม็กแบบไม่ต้องใช้ยางใน โดยมาพร้อมยางขนาด 110/70-13 และ 130/70-13 ตามลำดับ
ซึ่งจากการได้ทดลองขับขี่แล้ว สัมผัสได้ว่าช่วงล่างกระชับขึ้นเจอบททดสอบทั้งการทำความเร็วสูง เบรกหนัก ๆ และการเข้าโค้งลึก ๆ ก็ถือว่าเก็บได้หมดเฟิร์มขึ้นกว่าตัวเก่าอย่างเห็นได้ชัดเจน ซึ่งระบบเบรกเนี่ยช่วยหยุดรถ ชะลอความเร็วได้อย่างมั่นใจไล่น้ำหนักมาได้ดีเหมาะสมกับกำลังของเครื่องยนต์ด้วยการทำงานของ ระบบ ABS 2 Channel มีการตัดการทำงานได้ละเอียดและช่วยให้มั่นใจทุกครั้งที่หยุดรถ เรื่องของช่วงล่างนั้นน่าเสียดายนิดหน่อยที่ไม่ได้มีซับแทงค์แบบตัวท็อปจากฝั่งอินโดนีเซีย
ตอบโจทย์การใช้งาน
เรื่องของการตอบโจทย์การใช้งาน ก็จะขอพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีและฟีเจอร์ต่าง ๆ นอกจากเรื่องของหน้าจอสี TFT ระบบ YECVT ที่พูดถึงไปแล้ว ตัวรถยังมีแทร็คชันคอนโทรล มีระบบ Start & Stop System ช่วยประหยัดน้ำมันเมื่อหยุดรถที่ไฟแดง ระบบสมาร์ทคีย์ที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายง่ายดายมากยิ่งขึ้น ด้านหน้ามีช่องเก็บของพร้อมช่องจ่ายไฟแบบ USB-C ที่ด้านซ้าย ด้านขวาเป็นช่องเก็บของมีฝาปิด ส่วนช่องเก็บของใต้เบาะนั้นก็มีขนาดใหญ่ใส่หมวกกันน็อกได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับไซส์ด้วย
สรุป รีวิว NMAX Tech MAX 2025
เป็นอีกหนึ่งโมเดลในช่วงต้นปีที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีหนึ่งเดียวบนโลก ณ ปัจจุบัน ที่รถสกู๊ตเตอร์ขนาด 155 ซีซี จัดหนักให้ออฟชั่นมามากขนาดนี้ เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นรถ Automatic แท้ ๆ สามารถเพิ่มและลดความเร็วด้วย Engine Brake ได้ จึงทำให้ All New NMAX 2025 คันนี้สามารถตอบสนองการใช้งานได้กว้างมากยิ่งขึ้นจะใช้งานในการขับขี่ในชีวิตประจำวันหรือ นำออกไปใช้ในช่วงสุดสัปดาห์ ทั้งพ่อบ้านแม่บ้านสามารถใช้ด้วยกันได้ถึงระบบจะมีความซับซ้อน แต่ถ้าคุณได้ทำความเข้าใจจริงการใช้งานไม่อยากอย่างที่คุณคิดเพียงแค่บิดก็พร้อมจะสนุกไปได้ทุกที่คุณแม่บ้านไม่ต้องกังวลแน่นอน
ดังนั้นคันนี้เหมาะจะเป็นรถที่คุณสามารถเลือกใช้ได้ในทุก ๆ วันร่วมกับครอบครัว ทั้งสมรรถนะที่ขับขี่ได้อย่างสนุกและความปลอดภัยที่มากขึ้นอีกหนึ่งทางเลือกที่คู่ควรแก่การครอบครอง
โดยเปิดสำหรับรุ่นสแตนดาร์ดมี 4 สี ราคาแนะนำที่ 98,500 บาท
และรุ่น Tech MAX มี 2 สี ราคาแนะนำที่ 113,500 บาท
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่




















