รีวิว NMAX TECH MAX 2025 แบบเต็มทริป แรงกว่าเดิมจริงไหม?
รถน่ะมาใหม่หมดยกคัน แต่ขี่จริงจะไฉไล จะไหวหรือเปล่า? ทางเดียวที่จะรู้คือเอามารีวิว “วิ่งเต็มทริป” เพื่อนำข้อมูลสรุปฟีลลิ่งจากการขี่ทางไกล มาเล่าให้ทุกคนฟัง และนี่คือ รีวิว NMAX TECH MAX 2025 แบบสรุปประเด็น เน้นทุกเรื่อง โดยเฉพาะของใหม่อย่าง YECVT หรือ ชามไฟฟ้า ขี่สนุกมั้ย? กินน้ำมันหรือเปล่า? ตามมาดูกันเลย!!
การใช้ชื่อ “All New NMAX” ทำให้หน้าตาเวอร์ชั่นนี้เปลี่ยนไปใหม่อย่างหมดจดจริง ๆ ดูแบบไม่ต้องสังเกตก็ยังรู้สึกถึงความแตกต่างจากตัวก่อน สำหรับผมภาพลักษณ์ของ All New NMAX TECH MAX 2025 ดูเหมือนการย่อส่วนพี่ ๆ ในตระกูล MAX ลงมาชัด ๆ เลย
ตัวแฟริ่งเพิ่มความสปอร์ต ดูสวย-หรูหรารอบคัน เสริมมุมมองด้วยครอบข้างสีบรอนซ์ทรงบูมเมอแรง และยังคงรักษาคาแรคเตอร์ NMAX ที่ต้องบอดี้เพรียว ไม่เทอะทะ มีความคล่องตัวสูง และดูตรง ๆ จากมุมด้านหน้ารถแล้วไม่รู้สึกว่า “หน้าบาน”
โคมไฟหน้าให้มุมมองเท่มาก ๆ กลายเป็นเอกลักษณ์ของเวอร์ชั่นนี้ไปเลย สำหรับผม มองหน้าแล้วเหมือนสบตาหุ่นยนต์จากหนังไซไฟ
ระบบส่องสว่างโดยเฉพาะดวงไฟหลัก ไฟต่ำ-สูง ใช้หลอด LED โปรเจ็คเตอร์ แน่นอนว่าเรามีการทดสอบดูระบบไฟตอนใช้งานกลางคืนด้วย พบว่าตำแหน่งไฟต่ำให้มุมแสงที่กว้างเต็มเลนถนน สว่างและคมชัด ที่สำคัญคือระดับการโฟกัสไม่สูงและไม่เชิด เดิม ๆ ถือว่าใช้ได้เลยไม่ต้องจูน แล้วก็ไม่ต้องติดสปอตไลต์ช่วย
ส่วนไฟท้ายออกแบบใหม่ให้ดูมินิมอล แต่ใช้งานจริงเข้าท่ามาก ๆ เพราะไฟท้ายแยกส่วนซ้าย-ขวาแบบนี้ ทำให้คนที่ขี่ตามมามองเห็นชัด แล้วยังทำให้ท้ายรถดูไม่แคบเกินไป ซึ่งจะส่งผลต่อคนที่ขับรถแซงเราที่เค้าจะเผื่อระยะอัตโนมัติ มีประโยชน์เรื่องความปลอดภัยด้วย
มิติ การควบคุม
จากประสบการณ์ของคนที่เคยใช้ NMAX และมีโอกาสรีวิว NMAX มาทุกเจน ฯ บอกเลยว่า “การควบคุม” คือจุดแข็งของรถรุ่นนี้ครับ ขี่ง่าย-ช่วงดีมาก ๆ ไม่ด้อยกว่าใครในพิกัดนี้ สาเหตุหลักคือเมนเฟรมถูกออกแบบและพัฒนามาให้มี “ช่วงรถ” ที่กระชับ บาลานซ์เยี่ยม เคลื่อนที่และเลี้ยวดี
ความสูงเบาะ 770 มม. ฐานล้อ 1,340 มม. คือการผสานเคล็ดลับของการออกแบบที่ส่งผลต่อประเด็นนี้ อย่างไรก็ตามสังเกตว่าตำแหน่งท่านั่งของเวอร์ชั่น 2025 “เปลี่ยนไป” เพราะมีการปาดเบาะลึกเข้าไปด้านท้ายค่อนข้างมาก น่าจะเป็นเพราะตัวรถต้องเผื่อไซส์รองรับคนขี่ที่รูปร่างสูงให้มากขึ้น (เพราะNMAXวางขายในหลายภูมิภาค)
พื้นที่วางเท้าหรือฟุตบอร์ด ยังให้ฟีลการวางเท้าที่สบาย กว้างและขยับระยะได้เยอะ มีตำแหน่งเอียงตรงปลายเท้าเอียงที่กำลังดี อย่างผมถ้าขี่นาน ๆ แล้วรู้สึกอยากยืดขา ก็แค่ขยับตัวมาด้านหน้าแล้ววางเท้าไปบนนั้น ก็ลดความเมื่อยขาได้ทันที
ส่วนระยะการยื่นแขนจับแฮนด์กับเบาะใหม่ที่วิศกรยามาฮ่าเผื่อตำแหน่งการนั่งขี่ของคนแขนขายาว ในจุดนี้อยากบอกว่าสำหรับคนร่างเล็ก ๆ ซึ่งการทดสอบครั้งนี้เราต้องขี่ทางไกลยาว ๆ รวดเดียวเป็น 100 กม. จับอาการได้ว่าแขนตึงกว่าเวอร์ชั่นก่อน และอาการนี้จะส่งผลต่อความเมื่อยหลัง (อันมาจากตำแหน่งนั่งและเชพเบาะที่เปลี่ยนไป) ข้อนี้อาจจะต้องปรับท่านั่งกันแน่ ๆ โดยเฉพาะถ้าหากผมมีโอกาสเป็นเจ้าของรถเอง บอกเลยว่าจะจัดทรงใหม่ให้ท่านั่งชิดมาด้านหน้าอีกเล็กน้อย ก็จะบรรเทาอาการตึงได้
สุดท้ายสำหรับเรื่องดีไซน์แฟริ่งใหม่ เป็นการหาคำตอบถึงแอโร่ไดนามิค ว่ารถจะออกอาการอย่างไรเมื่อต้องเอามาขึ้นไฮเวย์ขี่ทดสอบทางไกลเต็มทริป
คำตอบที่ได้หลังจากวิ่งจบทริปนี้ คือการออกแบบบอดี้ที่ซ่อนครีบ-ปาดมุมในจุดต่างๆเอาไว้อย่างแยบยล แฟริ่งของ NMAX 2025 มีส่วนช่วยตัดอากาศที่พุ่งผ่านตัวได้ดีมาก ๆ และให้ฟีลลิ่งการขี่บนความเร็วสูงที่ “หน้านิ่ง” ปะทะลมแล้วไม่มีเซง่าย ๆ คอนเฟิร์มเลย
สอดคล้องกับน้ำหนักตัวของรุ่น TECH MAX ที่เราทดสอบซึ่งหนัก 134 กก. (หนักกว่ารุ่น STD เล็กน้อย) ที่เอาจริงตัวรถถือว่าเบา แต่ด้วยแอโรไดนามิคที่ดี ทำให้หน้าไม่ร่อน
คาแรคเตอร์ ขุมพลัง
เปลี่ยนโฉม แต่ขุมพลังพื้นฐานยังคงมาจากเครื่องยนต์ Blue Core 155 ซีซี VVA 4 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยน้ำ ซึ่งจะสังเกตตัวเลขลูกสูบกับช่วงชัก ที่ 58 มม. X 58.7 มม. เป็นสูตรเกือบจะสแควร์ทีเดียว คาแรคเตอร์ด้านกำลังงานก็ออกฟีลสปอร์ตตามแนวทางของยามาฮ่าออโตเมติค คือเด่นทั้ง ต้น กลาง และปลาย
ส่วนที่รุ่นนี้มีไรดิ้งโหมด T และ S ให้ใช้ เปลี่ยนโหมดง่าย ๆ ด้วยการวางตำแหน่งสวิทช์ไว้บนปะกับแฮนด์ฝั่งซ้าย ออกแบบให้เราเอานิ้วชี้มือซ้ายกดสวิทช์ได้สะดวก
จากการลองใช้งาน พบว่าทั้งสองโหมดให้รอบต้นที่รู้สึก “หน่วง” เล็กน้อย จากนั้นรอบก็จะพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วในย่านกลางแล้วค่อยไหลไปช่วงปลาย ซึ่งในโหมด T พละกำลังถูกแมพมาให้รู้สึกสมูท ไม่จัดจ้านนัก ซึ่งน่าจะเหมาะกับการใช้ในเมืองมากกว่า
ส่วนโหมด S คอนเฟิร์มว่าการตอบสนองคันเร่ง มีความจัดจ้าน ฉับไว ดีกว่าโหมด T ในทุกมิติ ขี่มันส์กว่าอย่างรู้สึกได้ชัดเจน(และผมก็ใช้โหมดนี้ตลอดทางแทบไม่เปลี่ยนเลยครับ)
ความเร็วสูงสุดจากการวิ่งทริปนี้ ผมสามารถไหลไป “สุด” ได้ที่ 124 กม./ชม. และแม้จะลองหมอบหรือดูดท้ายรถคันหน้าเพื่อเอาลมสลิปสตรีมมาอัปความเร็ว ก็เพิ่มไปถึงจุด “อั้น” ที่ 125 กม./ชม. ซึ่งก็เป็นความเร็วใกล้เคียงที่เคยทำได้จาก NMAX เจนฯก่อน ๆ นั่นเองครับ
ส่วนอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง วัดจากหัวจ่ายหลังการเติมเต็มถัง 7.1 ลิตร แล้วขี่รวดเดียว 152.8 กม. มีครบทั้งช่วงที่ลากท็อปสปีด ล็อคคันเร่ง รวมทั้งใช้ระบบควบคุมแรงฉุด YECVT ปรากฏว่าได้ตัวเลขอัตราสิ้นเปลือง 38.2 กม./ลิตร (หน้าจอรถคำนวณให้ 37.7 กม./ลิตร)
อย่างไรก็ตามในประเด็นความเร็วนี้ ผมอยากย้ำว่า NMAX TECH MAX คันอื่น ๆ อาจทำความเร็วสูงสุดได้มากกว่า-น้อยกว่าหรือได้ตัวเลขประหยัดน้ำมันแตกต่างออกไป เพราะสภาวะแวดล้อมและปัจจัยที่เกิดขึ้นในขณะนั้นไม่เหมือนกัน ซึ่งบางเรื่องเราก็ควบคุมไม่ได้ครับ
ระบบควบคุมแรงฉุด YECVT
เอาล่ะ มาถึงเรื่องคุณสมบัติพิเศษของรหัส TECH MAX ซึ่ง หมายถึงระบบระบบควบคุมแรงฉุด YECVT หรือ “ชามไฟฟ้า” ที่เข้ามาเพิ่มสมรรถนะให้ All New NMAX TECC MAX “ได้เปรียบ” คู่แข่งร่วมคลาสอย่างชัดเจน
ในการรีวิวประเด็นนี้ ผมตั้งใจอยากเขียนเล่าผลการใช้งาน ซึ่งเราจำลองสถานการณ์แทนไบเกอร์ที่จะต้องออกทริปเดินทาง แล้วเจอทางขึ้นเขา แล้วก็เก็บข้อมูลเอามาเขียนให้อ่านเข้าใจง่าย ๆ (ส่วนรายละเอียดข้อมูลทางเทคนิคในประเด็น YECVT แนะนำกดอ่านตามลิงค์นี้ได้ครับ https://www.motocrossmag.co.th/main/%e0%b8%a3%e0%b8%b5%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%a7-nmax-tech-max-2025-%e0%b8%a5%e0%b9%89%e0%b8%b3%e0%b8%aa%e0%b8%b8%e0%b8%94/ )
จากการทดลองใช้จริง ในสภาพ ขึ้นเขา-ลงเขา พบว่าสาระสำคัญของระบบ YECVT คิดค้นมาเพื่อทำงานเพิ่ม “แรงฉุด” สนองความต้องการของคนใช้รถ CVT ตรงตัวเลย กล่าวคือขณะที่เรากำลังบิดคันเร่งเชิดหัวรถ ไต่ทางชัน “ขึ้นเขา” พร้อมกดปุ่ม Shift ระบบ YECVT นั้นเวิร์คและปรับอัตราทดกำลังเพิ่มแรงฉุดของตัวรถให้ “ดันขึ้น” ได้อย่างชัดเจน และเราสามารถกดปุ่ม Shift เรียกระดับแรงฉุดได้ถึง 3 ระดับ ทำให้ขี่ไต่ขึ้นเขาไปจนถึงสุดเนิน โดยที่กำลังของตัวรถไม่ตก แบบนี้หมดปัญหารถหมดแรงกลางเนินนั่นเองครับ ในช่วงทดสอบมีลองให้ช่างภาพนั่งซ้อนขึ้นเขาก็ยิ่งได้ข้อมูลว่า ถึงจะแบกน้ำหนักบรรทุกแต่ระบบ YECVT จะช่วยให้เราขึ้นเขาได้อย่างปลอดภัย เหมือนเชนจ์เกียร์ต่ำลากรอบขึ้นไป ยังไงยังงั้น
ในช่วง “ลงเขา” ยิ่งทำให้ผมต้องตะโกนออกมาว่า วู้ววว มันยอดมาก!! เพราะเมื่อขี่ลงในอัตราความเร็วปกติ และเริ่มทำขั้นตอนเหมือนขาขึ้นคือ กดปุ่ม Shift ผลที่ได้คือรถมีอาการปรับอัตราทดรอบและ “ดึง” ในแบบเดียวกับการใช้เอนจินเบรก และยังกดเพิ่มอาการฉุดได้ 3 ระดับเช่นเดียวกับตอนขาขึ้น เมื่อรวมกับการใช้เบรก ก็ทำให้ลงมาได้อย่างปลอดภัยแบบต้องซูฮกการคิดค้าและออกแบบของยามาฮ่าเลยล่ะ
ซึ่งในการใช้ YECVT ในลักษณะแบบนี้ เมื่อความเร็วต่ำกว่า 15 กม./ชม. ระบบจะเคลียร์ออกเองแบบอัตโนมัติ ส่วนในการขี่ทางราบปกติ การกดปุ่ม Shift เรียกการทำงานของ YECVT ก็จะมีประโยชน์ในการเร่งแซง เร่งออกตัว ซึ่งก็เป็นอย่างที่บอกไปว่า ใช้ดี และขี่สนุกแตกต่างจริงๆครับ
ส่วนใครขี้เบื่อ หรือไม่อยากใช้ YECVT ก็สามารถเข้าไปปิดระบบได้จากการตั้งค่าได้ไม่ยากในหน้าจอครับ
TC ยอดเยี่ยมเสมอ
ระบบแทรคชั่นคอนโทรลที่ยามาฮ่าใส่ไว้ใน NMAX มาตั้งแต่เจนแรก เป็นคุณสมบัติที่คุ้มค่ามาก ๆ ทำงานได้ดี มีมาตรฐานเสมอมาครับ ทดสอบกี่ครั้งก็ยังต้องยกนิ้วโป้งให้ การเซนเซอร์และตัดการจุดระเบิดในสภาวะที่ล้อหลังหมุนไม่สัมพันธ์ล้อหน้า มีความแม่นยำสร้างความปลอดภัยในการขับขี่ในหลาย ๆ สถานการณ์ได้ดีเยี่ยม
ส่วนระบบ Stop & Start System ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดรถนิ่งสนิท มีปุ่มเปิด-ปิดให้เลือกใช้ด้วยสำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการจอดแล้วรถดับ
ระบบเบรก และช่วงล่าง
กล่าวได้เต็มปากว่าในบ้านเรากับกลุ่มรถออโตเมติคสไตล์นี้ในพิกัด 150-155 ซีซี. ยามาฮ่าเป็นเจ้าแรกที่ใส่ระบบเบรกดิสก์เบรกหน้า-หลัง พร้อม ABS 2 ชาแนล ซึ่งช่วยให้ยูซเซอร์เอาตัวรอดจากอุบัติเหตุที่เกิดจากการต้องเบรกกระทันหันได้มากมาย (ผมเองก็หนึ่งในนั้น) สำหรับในเวอร์ชั่นนี้ ระบบ ABS ยังคงตัดอาการล้อล็อคได้ละเอียด เบรกหนึบดีเยี่ยมครับ
ส่วนระบบช่วงล่าง ตามข้อมูลจากทางค่ายระบุไว้ว่ามีการเซ็ทอัพโช้คหน้า-หลังมาใหม่ เพื่อให้เหมาะกับคาแรคเตอร์ของเวอร์ชั่นนี้ เท่าที่วิ่งทางไกลมาวันนี้ ผมรู้สึกว่าอาการโช้ครวม ๆ แอบแข็งขึ้นเล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะเจตนาให้มันได้ฟีลสปอร์ตมากขึ้น
อย่างไรก็ตามการลองเข้าโค้งในเส้นทางที่เราผ่าน ช่วงล่างชุดนี้แม้จะแข็งขึ้น แต่ก็ไปได้ดีกับอาการในโค้งที่ไม่ย้วยครับ เลี้ยวดี กระชับ อาการบัมพ์รอยต่อถนนก็ไม่ได้แย่ หนึบดี ไม่มีสะบัด
ส่วนสายทัวร์ริ่งหรือสายเมียตามติดตัว ตัวโช้คหลังของรุ่นที่เรารีวิวมีตัวหมุนปรับพรีโหลดเพิ่มความแข็งสปริงได้ 1 คลิก ก็น่าจะตอบโจทย์ แต่ถ้าใครรู้สึกไม่พอ โช้คแต่งตรงรุ่น NMAX มีเพียบครับ อยู่ที่งบประมาณเลย
ออปชั่นรองรับการใช้งาน
หนึ่งในคุณสมบัติของออโตเมติคตระกูลแมกซ์ซีรีส์ คือออปชั่นดีและครบครันเอื้อต่อความสะดวกของผู้ใช้ และเวอร์ชั่นนี้มีการปรับรายละเอียดในบางจุดมาด้วย
ช่องใส่ของด้านขยายซ้ายใหญ่และลึกกว่าเดิม ใส่แก้วกาแฟไซส์กลางแบบพลาสติกได้เลย ในนั้นมีช่องจ่ายไฟซึ่งเปลี่ยนเป็น Type C เรียบร้อย
ระบบสมาร์ทคีย์ยังใช้ง่ายเหมือนเดิม เปิดเบาะ เปิดฝาถังน้ำมันสะดวก
ช่องใส่ของด้านขวามีบานพับสวิทช์โยกเปิดออกมาใช้งาน ความไม่ลึกเท่าฝั่งซ้าย และยังล็อคปิดไม่ได้ ดังนั้นก็ห้ามลืมของทิ้งไว้นะ
UBOX นี่ถือว่าน่าสนใจมาก เพราะปริมาตร 25 ลิตร จุของได้เยอะ แต่ถ้าจะใส่หมวกกันน็อคเต็มใบบางรุ่นก็ต้องหงายขึ้น หรือถ้าเป็นรุ่นที่มีสปอยล์เลอร์ก็อาจจะใส่ไม่ได้ และผมอยากบอกว่าใครซื้อรุ่นนี้มาใช้ลองไปหาของแต่งที่เขาทำปลอกยูบ๊อกซ์เป็นผ้ากำมะหยี่ จะช่วยป้องกันหมวกกันน็อคเป็นรอยได้ดีเลย
เบาะนั่ง รุ่นนี้เรียกว่า Special TECH MAX Seat ดูสวยงาม หรูหรา และเสริมเท็กเจอร์การยึดเกาะเหมือนกัน คนซ้อน-คนขี่ไม่มีอาการลื่นง่าย ๆ ความนุ่มของเบาะการันตีจากการขี่เดินทางครับ นุ่มสบายไม่มีปวดก้น
ฟังก์ชั่น
หน้าจอ 2 ชั้น เชื่อมต่อบลูทูธใช้งานร่วมกับแอพ Yamaha Y Connect อาจจะมีคนบอกว่าคุ้นเคยใน XMAX มาแล้ว แต่ขอย้ำกันอีกทีสำหรับรายละเอียดของเรือนไมล์ชุดนี้ซึ่งมีมากมาย จนใช้แทบไม่ครบเลยครับ
⦁ แสดงผลและแจ้งเตือนการทำงานของรถ โหมดการขับขี่ รอบเครื่องยนต์ และสถานะการทำงานของ YECVT
⦁ แสดงเบอร์โทรศัพท์สายเรียกเข้า พร้อมกดรับหรือวางสายได้
⦁ แสดงข้อความ SMS, Line, Messenger
⦁ แสดงมิวสิคเพลย์ลิสต์ Streaming และเพิ่ม-ลด เสียงรวมถึงเลือกเปลี่ยนเพลงได้
⦁ แสดงผลสภาพภูมิอากาศแบบ Realtime
⦁ แสดงสถานการณ์ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง
สำหรับการปรับค่าจอสามารถทำได้ทั้งจอบนและจอล่าง โดยเฉพาะการปรับค่าความสว่าง ที่เราเข้าไปทำได้เพื่อให้เหมาะกับสภาพในขณะใช้งาน ตรงนี้มีประโยชน์มากสำหรับบ้านเราเพราะแดดแรงเกือบทั้งปี และทริปนี้ในช่วงกลางวัน ผมเข้าไปปรับค่าให้สว่างสุดทั้งสองจอเลย เพราะเหตุผลสำคัญคือหมวกกันน็อคใส่ชิลด์ดำนั่นเอง ฮา ฮา
ทีเด็ด Garmin Street Cross
ไม่น่าเชื่อว่ายามาฮ่าจะใส่ของดีมาในรถเล็ก 155 ซีซี แบบนี้ เพราะเพียงแค่ลงแอพ Garmin Street Cross ล็อกอิน-โหลดแมพเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้เรียบร้อย เราก็จะเข้าไปเพลินกับการนำทางที่โคตรละเอียดของ Garmin Street Cross ได้เลย ด้วยการกดป่มสวิทช์ HOME ที่ปะกับแฮนด์ฝั่งซ้าย
การค้นหาสถานที่ กำหนดปลายทาง เลือกเส้นทาง เราทำในแอพบนสมาร์ทโฟนควบคู่กับการดูการรันแมพหน้าจอ TFT ซึ่งเมื่อเมื่อเริ่มนำทาง ก็จะสามารถซูมแผนที่เส้นทางเข้าออก ปรับเปลี่ยนมุมมองด้วยสวิตช์ HOME
นอกจากแสดงแผนที่ แอพนี้ยังให้ข้อมูลการจราจรแบบเรียลไทม์ บอกสถานีน้ำมัน โชว์เส้นทางเลี่ยงที่เป็นไปได้ ระบุเวลาถึงที่หมายโดยประมาณ รายงานสภาพอากาศที่ปลายทาง รวมถึงแจ้งเตือนข้อมูลเส้นทางที่อาจไม่ปลอดภัย เช่น ทางโค้งหักศอก ทางจำกัดความเร็ว และแจ้งเตือนเมื่อเข้าเขตโรงเรียน แม้ว่าในขณะนั้นเราจะไม่ได้ใช้แมพเพื่อนำทางโดยตรงก็ตาม!!
ราคาเปิดตัว โคตรคุ้ม!!!
หลังจากจบทริปการทดสอบ รีวิว NMAX TECH MAX ซึ่งได้เรียนรู้ทำความเข้าใจและใช้งานจริงในทุก ๆ มิติแล้ว ได้บทสรุปง่าย ๆ ว่ายามาฮ่าทำได้ดีมาก ๆ ในการสร้างหมุดหมายใหม่ให้วงการรถ CVT สมรรถนะเยี่ยมพร้อมฟังก์ชั่นดีขนาดนี้ ถ้าจะจ่ายเงินแสนทั้งที เล่นได้เลยครับคันนี้โคตรคุ้ม!!
ราคาและตัวเลือกสี ตามนี้
| สีสันที่มีจำหน่ายในรุ่น 2025 NMAX Tech MAX | |
|---|---|
![]() |
![]() |
| สีน้ำตาล – ดำ Magma Black | สีเทา Prestige Gray |
รุ่น All New YAMAHA NMAX TECH MAX ราคาแนะนำ 113,500 บาท
| สีสันที่มีจำหน่ายในรุ่น 2025 NMAX Tech MAX | |
|---|---|
![]() |
![]() |
| สีฟ้า Pastel Blue | สีขาว Glossy White |
![]() |
![]() |
| สีดำ Vivid Black | สีแดง Super Red |
รุ่น All New YAMAHA NMAX ราคาแนะนำ 98,500 บาท
พร้อมการรับประกันมากกว่า ถึง 5 ปี หรือ 50,000 กิโลเมตร
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่





































