รีวิว R1300GS Adventure

รีวิว R1300GS Adventure ยานแม่ที่พร้อมสยบทุกเส้นทาง

รีวิว R1300GS Adventure ยานแม่ที่พร้อมสยบทุกเส้นทาง

ล่าสุด BMW Motorrad Thailand เปิดให้สื่อมวลชนและอินฟลูเอนเซอร์ทั้งหลายได้ทดสอบเป็นครั้งแรกในประเทศไทย MTC เองก็ได้มีโอกาสทำ รีวิว R1300GS Adventure 2025 ยานแม่ที่พร้อมสยบทุกเส้นทาง และเป็นรถในฝันของใครหลาย ๆ คน หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในงาน Motor Show เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดี

รีวิว R1300GS Adventure

ครั้งนี้มาทดสอบกันที่ จ.กาญจนบุรี อันอุดมไปด้วยธรรมชาติ พร้อมกับเส้นทางสุดท้าทายทั้ง ทางดำและทางดิน สามารถใช้เป็นบทพิสูจน์ของรถสายลุยตัวจริงตัวจบได้เป็นอย่างดี เดี๋ยวรู้จักแน่อนทดสอบแล้วในรูปแบบ On-Road กับเส้นทางชมธรรมชาติบริเวณเขื่อนศรีนครินทร์ มุ่งสู่ อ.ศรีสวัสดิ์ ซึ่งมากด้วยทางโค้งและทางชัน แบบครบจบที่เส้นเดียว น่าเสียดายที่เวลามีไม่มาก จึงได้ทดสอบแบบเน้นสัมผัสแรกเพื่อหาความแตกต่างจากรุ่นมาตรฐานว่ามีจุดที่ต่างกันอย่างไรบ้าง

จุดที่ต่างกันระหว่าง GS และ GSA

นอกเหนือไปจากรูปทรงภายนอกแล้ว จุดที่แตกต่างกันเรื่องแรกคือความจุถังน้ำมัน GSA 30 ลิตรมากกว่า GS ถึง 11 ลิตร ถังใหญ่บึ้มวิ่งทางไกล ๆ ได้สบายไม่ต้องจอดเติมน้ำมันบ่อย แต่สิ่งที่ตามมาด้วยคือน้ำหนัก เมื่อเติมเต็มถัง GSA หนักถึง 265 กิโลกรัม (ตัว ASA 268 กิโลกรัม) มากกว่า 28 กิโลกรัม แต่ได้ความสะดวกสบายที่มากขึ้น

อีกจุดคือ ซับเฟรมใหม่ ใช้เป็นโลหะหล่อในรูปแบบไดม่อน ยืดหยุ่นแข็งแรง เปลี่ยนเพราะมีการเปลียนแปลงช่วงท้ายของตัวรถในส่วนของชุดแร็คท้ายรถที่เพิ่มในส่วนของออปชั่นชาร์จแบตเตอรี่และไฟในปี๊บให้ที่ปี๊บหลังและบี๊บข้างซ้าย

ส่วนที่เหมือนกัน

แน่นอนว่าส่วนที่เหมือนกันย่อมหนีไม่พ้นในส่วนของขุมพลังนั่นเอง โดยทั้งสองโมเดลจะใช้เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบนอนระบายความร้อนด้วยน้ำ DOHC พร้อมชิฟต์แคม ปริมาตรกระบอกสูบ 1,300 ซีซี ระบบขับเคลื่อนด้วยเพลา ขณะที่ระบบเฟืองท้ายเป็นแบบ 2 ระดับ แรงม้า 145 แรงม้าที่ 7,750 รอบ แรงบิด 149.14 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ ซึ่งเครื่องยนต์บล็อกใหม่นี้มีความจุมากขึ้นแต่มีขนาดเล็กและเบาลง โดยเบากว่าเดิม 6.5 กก.

สำหรับโมเดลนี้ตำแหน่งกระปุกเกียร์ใหม่ถูกย้ายให้ต่ำลงกว่าเดิม ทำให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงของเครื่องยนต์ที่ต่ำลงไปด้วย ทั้งแรงม้าและแรงบิดมาเต็มขึ้นอย่างชัดเจนตั้งแต่รอบต่ำ ควบคุมง่ายผ่านคันเร่งไฟฟ้า Ride By Wire ที่มีความละเอียดสูง ควบคุมผ่านโหมดต่าง ๆ ที่มีให้เลือกใช้มากถึง 7 โหมดได้แก่ Road, Rain, Eco, Dynamic, Dynamic Pro, Enduro และ Enduro Pro เรียกว่าครอบคลุมทุกสไตล์การขับขี่

ช่วงล่างอัปเกรดไปอีกระดับหากเทียบกับตัวเก่า มีเฟรมออกแบบใหม่ ตัวเฟรมหลักเป็นเหล็กแข็งแรงคงทน ส่วนซับเฟรมเป็นแบบ Die – Cast อะลูมิเนียม น้ำหนักเบาและแข็งแรง ซึ่งสามารถช่วยลดน้ำหนักลงไปได้เยอะ น้ำหนักตัวเหลือเพียง 237 กก. เบากว่า R1250 GS ถึง 12 กก.

ขณะที่ระบบกันสะเทือนเป็นการขยายความสมบูรณ์แบบของโช้คหน้า EVO Telelever (คู่โช้คหน้าหลักทำงานร่วมโช้คเสริมตัวที่ 3 พร้อมแขนกระเดื่อง) ขณะที่โช้คหลังเป็นแบบ EVO Paralever คอนโทรลด้วยระบบไฟฟ้า Dynamic Suspension Adjustment (DSA)

ระบบเบรกหน้า ดิสก์คู่ ขนาด 310 มม.มาพร้อมกับคาลิเปอร์สี่ลูกสูบแบบเรเดียลเมาท์ เบรกหลังแบบดิสก์เดี่ยวขนาด 285 มม.จับคู่กับคาลิเปอร์สองลูกสูบ ระบบเบรกชุดนี้มาพร้อมกับเทคโนโลยี Integral ABS Pro ที่ทำงานร่วมกันทั้งเบรกหน้าและหลังแบบอัตโนมัติ เมื่อใช้งานเบรกหน้าระบบจะแชร์การทำงานไปที่ล้อหลังด้วย ถ้าใช้เบรกหลังระบบเบรกก็จะแชร์ไปที่เบรกหน้าด้วยเช่นกัน

ปิดท้ายช่วงล่างด้วยวงล้ออะลูมิเนียมซี่ลวด Cross-spoke wheels หน้าขนาด 19 นิ้ว และล้อหลัง 17 นิ้ว ยังคงเป็นชุดล้อซี่แบบเดิมที่โดดเด่นในเรื่องการใช้งานหลากหลายและคงทน มีความยืดหยุ่นสูง ส่วนยางติดรถที่ใช้ในการทดสอบจาก Metzeler ขนาดยางหน้า 120/70 R 19 หลัง 170/60 R 17

และที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับยานแม่คือ ระบบอิเล็กทรอนิกส์สนับสนุนการขับขี่ ให้มาเพียบพื้นฐานเดิมจากตัว GS ทำงานร่วมกับโหมดการขับขี่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ระบบควบคุมช่วงล่าง Dynamic Suspension Adjustment (DSA), ระบบควบคุมการยึดเกาะถนน, Dynamic Traction Control (DTC), ระบบช่วยเบรก Dynamic Brake Assist (DBC), ระบบควบคุมแรงบิดของเครื่องยนต์ Engine Drag Torque Control (MSR) ระบบควบคุมการออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Control (HSC) และระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง Tire Pressure Monitor (TPM)

ยังมีเรื่องของทัศนวิสัยที่เป็นสิ่งสำคัญทางค่าย เลือกใช้ไฟหน้าแบบ LED Matrix โดดเด่นไม่เหมือนใครด้วยรูปทรงตัว X มาพร้อมกับเทคโนโลยี Headlight Pro ที่สามารถปรับทิศทางลำแสงในระหว่างการเลี้ยวเพื่อเพิ่มทัศนวิสัยในทุกสถานการณ์และเส้นทางการขับขี่

ทีเด็ดอยู่ที่ระบบ ASA

และทีเด็ดที่เราได้สัมผัสในการทดสอบครั้งนี้คือเจ้าระบบ ASA (Automated Shift Assistant) ระบบช่วยเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติใหม่ล่าสุด ที่ไม่ต้องใช้คลัตช์ในการเข้าเกียร์ ขึ้น-ลง และ ไม่ต้องใช้คันเกียร์ด้วย โดยจุดเด่นคือ สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้โดยไม่ต้องบีบคลัตช์และมีให้เลือก 2 โหมด โหมด “M” (Manual): เปลี่ยนเกียร์เอง (ไม่ต้องบีบคลัตช์) และ โหมด “D” (Drive): ระบบจะเปลี่ยนเกียร์ให้อัตโนมัติทั้งหมด (คล้ายกับเกียร์ออโต้ในรถยนต์)

การใช้งานก็ไม่อยากโดย เมื่อคุณเปิดสวิตช์รถทุกครั้งตัวรถจะอยู่ที่เกียร์ P เหมือนในรถยนต์ เข้าเกียร์ N หรือเกียร์ว่าง ได้ทั้งหมด 3 วิธี แต่ไม่สามารถเตะเกียร์ว่างได้เลย เป็นระบบเพื่อความปลอดภัย ต้องทำตาม 3 วิธีนี้

  1. กดเบรกหน้าค้าง พร้อมกดสตาร์ทรถ ระบบจะเข้าเกียร์ว่างทันที
  2. กดเบรกหน้าค้าง กดปุ่ม โหมด D/M ค้าง
  3. กดเบรกหน้าค้าง กดคันเกียร์ค้าง

เริ่มแรกตัวรถจะเริ่มที่โหมด M ต้องใส่เกียร์เองแต่ไม่ต้องกำคลัชต์ เพราะไม่มีมือคลัตช์แล้ว เราสามารถเตะเกียร์ขึ้นลงตามความเหมาะสมได้ตามปกติโดยไม่ต้องกังวลเรื่องกำคลัชต์อีกต่อไป และที่สำคัญระบบจะคำนวณรอบเครื่องยนต์และช่วยเข้าเกียร์ที่เหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์ให้อีกด้วย

หากจะเข้าสู่โหมด “D” เข้าเกียร์ให้แบบอัตโนมัติ เพียงกดปุ่มเปลี่ยนโหมด D/M ที่ปะกับด้านซ้ายมือได้ทันที สัญลักษณ์จะขึ้นที่บริเวณเลขบอกเกียร์บนหน้าปัดจาก M จะเปลี่ยนเป็นตัว D และระบบจะทำการเข้าเกียร์ให้คุณแบบอัตโนมัติ บิดอย่างเดียว คล้ายการทำงานรถยนต์เกียร์ออโต้ แต่เรายังสามารถเปลี่ยนเกียร์เองได้ทันทีถ้าต้องการ เรายังสามารถช่วยเข้าเกียร์ได้ตามปกติ ซึ่งระบบจะกลับเข้าสู่โหมด M เป็นระยะเวลานึง และเมื่อปล่อยผ่านไปสักระยะ ก็จะกลับเข้าสู่โหมดอัตโนมัติดังเดิม

ข้อสังเกตและควรระวังนิดเดียว คือ การลงทางชัน ในโหมด D ด้วยความที่รอบเครื่องยนต์สูง ระบบอาจจะเข้าเกียร์สูงให้คุณอาจจะต้องช่วยเข้าเกียร์ต่ำให้ได้เอ็นจิ้นเบรกสักนิด นอกจากนี้หากเกิดอุบัติเหตุ รถล้ม ล้อลอย ระบบจะเข้าสู่เกีบร์ P โดยทันที แล้วถ้าหากขี่อยู่แล้วเกินมีปัญหารถดับกะทันหันระบบนี้ก็จะไม่เข้าเกียร์ P แต่จะเข้าเกียร์ N แทนเพื่อให้รถไหลไปต่อได้ ไม่ว่าคุณจะคาอยู่ที่เกียร์ไหนก็ตาม เรียกว่าโรงงานคิดมาให้แล้ว ปลอดภัยแบบจบ ๆ

ยังไม่หมด ทางค่ายยังจัดระบบปรับความสูงตัวรถอัตโนมัติ Adaptive Ride Height สามารถปรับความสูงตัวรถเพื่อให้มีความสูงเบาะที่ง่ายและสะดวกต่อการขึ้นลงและการขับขี่ โดยปรับสูงสุดที่ 870 มม. ต่ำสุดที่ 840 มม. หลักการทำงานคือ ค่าเริ่มต้นขณะรถจอดอยู่ เบาะจะมีความสูงที่ 840 มม. เมื่อออกตัวออกไปที่ความเร็วเกิน 50 กม./ชม. ระบบจะทำงานด้วยการปรับความสูงเบาะขึ้นมาที่ 870 มม. โดยอัตโนมัติ เมื่อความเร็วต่ำกว่า 50 กม./ชม. ก็จะลดความสูงลงมาอัตโนมัติ ช่วยให้คนที่รูปร่างเล็กใช้งานได้สะดวกขึ้น สำหรับผู้ที่มั่นใจในความสูงตรงนี้ก็สามารถเลือกล็อกระบบนี้ไว้ได้ด้วยเช่นกัน

หมายเหตุระบบนี้ทำงานโดยที่จะขยับด้วยระบบไฮดรอลิกบริเวณหัวโช้ค ไม่ได้เกิดจากการยืดหดของระบบพรีโหลดแต่อย่างใด เพราะฉะนั้นการทำงานของระบบช่วงล่างในการออกตัวยังคงประสิทธิภาพดีอยู่เสมอ

นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์เด่น ๆ มีให้ใช้งานเพียบ เรือนไมล์ TFT ขนาด 6.5 นิ้ว แสดงข้อมูลการขับขี่ครบครัน ชิลด์หน้าปรับระดับด้วยไฟฟ้า ช่องชาร์จไฟแบบ USB และช่องเสียบไฟ 12 โวลต์ก็มีให้ใช้งานเป็นมาตรฐาน ระบบกุญแจเป็นแบบ Keyless ระบบอุ่นมือ และพิเศษสุดกับขาตั้งคู่ระบบไฟฟ้าเข้ามาช่วยเหลือทำให้การยกรถสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นรถหนัก ๆ กลายเป็นเบา

ระบบเรดาร์ก็มี

ระบบเรดาร์ตรวจวัดสภาพแวดล้อม ที่เป็นตัวช่วยในการเดินทางที่สะดวกสบายและปลอดภัย ถูกติดตั้งอยู่บริเวณหน้ารถด้านบนของชุดไฟ ทำให้สามารถใช้งานระบบเตือนการชนด้านหน้า Front Collision Warning (FCW) โดยระบบทำหน้าที่ตรวจจับวัตถุด้านหน้ารถ เพื่อรักษาระยะห่างที่ปลอดภัย ด้วยการชะลอความเร็วโดยสั่งการไปที่ระบบเบรกเพื่อเตือนให้ผู้ขับขี่รู้ตัวเมื่ออยู่ในระยะที่ตั้งค่าไว้ สามารถปรับระยะได้ถึง 3 ระดับ นอกจากนี้ระบบดังกล่าวทำงานร่วมกับระบบระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Active Cruise Control (ACC) โดยจะทำการรักษาความเร็วและลดความเร็วเมื่อเจอกับรถที่ขับช้ากว่าความเร็วที่ล็อกไว้ เร่งความเร็วอีกครั้งเมื่อรถด้านหน้าเปลี่ยนเลนออกไป

ขณะที่เรดาร์ด้านหลังก็ช่วยให้รถสามารถตรวจจับวัตถุได้อย่างละเอียด ทั้งรถยนต์และมอเตอร์ไซค์ที่ตามมาด้านหลัง ช่วยให้ใช้ระบบแจ้งเตือนก่อนเปลี่ยนเลน Lane Change Warning (SWW) คอยวัดระยะการแซงจากด้านข้างตัวรถ ตรวจจับรถที่กำลังแซงจากด้านข้างของตัวรถ ระบบจะส่งสัญญาณเตือนไปที่กระจกมองข้าง แบบเดียวกันกับที่ใช้ในรถยนต์

ทดสอบกลางสายฝน

รีวิว R1300GS Adventure

รอบนี้เราอยู่กันบนทางดำใน Rain Mode จริง ๆ มีหลายโหมดที่น่าใช้ แต่เราเจอกับฝนชุดใหญ่ ตั้งแต่ออกตัวจนถึงปลายทาง งานนี้ทำให้ผมได้เจอมุมมองใหม่ ๆ สำหรับการทดสอบรถในตระกูล GS ได้รู้สึกถึงความปลอดภัยที่แท้จริงผ่านออปชั่นที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้

จากการได้ทดลองขับขี่จริง ๆ บอกได้เลยว่าเรื่องเดินทางไกลบอกเลยด้วยเครื่องบล็อกนี้พละกำลังเหลือ ๆ หายห่วง ลงทางดินแรงบิดก็กินขาดสาดไปได้เลยควบคุมคันเร่งได้เนียน ๆ อีกทั้งยังรู้สึกมั่นใจด้วย

และถึงแม้โมเดลนี้จะมีหนักขึ้นอีก 30 กก. แต่ดันแมตช์มากกับพละกำลังของเครื่องยนต์บล็อกนี้ รู้สึกมันหนึบขึ้นเดินทางไกลสบายสุดควบได้ดีไม่เหวอ เฉียบ ช่วงล่างเองก็รับประกันความสมูท ให้การทำงานซับแรงสะเทือนแบบ Real Time ซึ่งส่งผลต่อการควบคุมบังคับเลี้ยวที่เสถียรทุกสภาพเส้นทาง ทางดำเก็บหมดจะโค้งโหด ๆ หรือจะหลุมจะบ่อ ความเร็วสูง ๆ นิ่ง ไม่สับ ไม่ส่าย เจอกับสภาพอากาศแบบฝน ถนนลื่น ๆ ก็ยังคงรักษามาตราฐานไว้ได้เป็นอย่างดี หนึบเอาอยู่

รีวิว R1300GS Adventure

ท่านั่งขับขี่ถึงตัวถังจะใหญ่ขึ้นแต่พื้นฐานความกะทัดรัดยังคงเดิม ท่านั่งทำได้กระชับหลังตรง ตำแหน่งแฮนด์ถอยมาด้านหลัง เหมาะสำหรับการเดินทางไกลที่จะช่วยลดความเมื่อยล้าได้ ส่วนถ้ายืนขี่ยังคงรักษาสมดุลในการวางตำแหน่ง เท้า เข่า สามารถกริ๊ปตัวรถได้อย่างเหมาะสม ควบคุมพริกเลี้ยวง่าย ที่สำคัญเบาะนุ่มมากขับทั้งวันได้สบาย ๆ

รีวิว R1300GS Adventure

ส่วนระบบเบรกเอง ลองแล้วถนนลื่น ๆ ก็เอาอยู่ จะเบรกในโค้งก็นิ่งกริ๊บดีจริง เนียนสุด ๆ การถ่ายเทน้ำหนักเบรกแบบนี้ทำให้กริปของยางกับถนนหนึบดี ช่วยลดระยะเบรกได้สั้นขึ้น โดยที่ยังเนียนสุด ๆ

รีวิว R1300GS Adventure

ขณะที่ยางที่ให้ติดรถมาเหมาะกับการขับขี่บนถนนมากกว่าออฟโรด ถ้าเน้นลุยเป็นหลักแนะนำให้เปลี่ยนยาง ทริปนี้ฝนกระหน่ำแรก ๆ ก็ไม่มั่นใจสักเท่าไหร่ แต่พอยิ่งขี่ไป ก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น ยางรีดน้ำดีไม่มีปลิ้น สังเกตได้ว่าระบบแทรคชันทำงานน้อยมาก เพราะยางยังเอาอยู่

สรุป

รีวิว R1300GS Adventure

สุดยอดเรือธง เรียกว่าเรือโนอาห์ดีกว่าถ้าจะให้มาครบจบทุกสิ่งขนาดนี้ มันเกิดมาเพื่อลุย ลุยได้ในทุกสภาพเส้นทาง เดินทางไกลสบายขึ้น ตัดออกนอกเส้นทางได้อย่างมั่นใจ แม้ว่าอาจจะไม่ได้เหมาะที่จะเอาลุยโหด ๆ ด้วยน้ำหนักตัวที่มากขึ้น แต่บอกเลยว่าถ้าอยู่ในมือคนที่มีทักษะก็สนุกและไปได้แน่นอน ตัวรถช่วยผู้ขับขี่ได้เยอะมากตามแบบของรถในตระกูลนี้ เป็นรถที่เหมาะกับคนที่ชื่นชอบการเดินทางอย่างแท้จริง

รีวิว R1300GS Adventure

ถ้าคุณมองหาความสะดวกสบายในการเดินทางขี่ออฟโรดไม่มากแนะนำระบบ ASA จบแน่นอนสะดวกกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ส่วนสายลุยชอบออกนอกเส้นทางยังคงรักในการควบคุมตัว Manual ก็ยังคงตอบโจทย์ได้ดีเช่นกัน ส่วนใครกำลังสงสัยว่าทางดินเป็นอย่างไรติดตามไว้ครับ

รีวิว R1300GS Adventure

สำหรับราคาค่าตัว BMW R1300 GSA มาพร้อมกันทั้งหมด 4 รุ่น 3 สี

  • สี Triple Black และ GS Trophy (Manual) 1,225,000 บาท
  • สี Option 719 (Manual) 1,275,000 บาท
  • สี Option 719 (ASA) 1.309,000 บาท

อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่

ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่