รีวิว Royal Enfield Bear 650 ราชาหมีทะเลทราย จากตำนานสู่ปัจจุบัน
เปิดให้ทดสอบแล้ววันนี้พร้อมราคาสุดพิเศษกับเจ้าหมีแห่งทะเลทรายสแคลมเบลอร์ไบค์จากโรยัลเอ็นฟิลด์ เราก็เลยขอใช้โอกาสนี้ รีวิว Royal Enfield Bear 650 กันซะเลย ไหน ๆ ก็สบช่องที่เปิดให้สื่อมวลชนได้ขับขี่กันบนเส้นทางจริง
เจ้าหมีคันนี้มีพื้นฐานของ Interceptor 650 ที่พิสูจน์แล้วว่ามีสมรรถนะที่ดีเยี่ยม สู่การอัพเกรดครั้งสำคัญทั้งดีไซน์และสมรรถนะ เปิดให้สื่อมวลชนได้ทดสอบกันบนเส้นทาง หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร มาดูกันว่ามีส่วนไหนที่น่าสนใจลุย !!!
แรงบันดาลใจ ในการออกแบบ
เจ้าแบร์คันนี้ได้จุดเริ่มต้นแนวคิดการออกแบบจากการแข่งขัน Big Bear Run ปี 1960 เป็นการแข่งขันมอเตอร์ไซค์ที่จัดขึ้นในทะเลทราย Lucerne Valley รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยเป็นหนึ่งในการแข่งขันครั้งใหญ่ช่วงต้นปี การแข่งขันในปีนั้นมีผู้เข้าร่วม 765 คน และได้ผู้เข้าเส้นชัย 207 คน
โดยผู้ชนะในรายการนี้คือ Eddie Mulder เด็กหนุ่มที่อายุน้อยที่สุดในการแข่งขัน ซึ่งอายุเพียง 16 ปี เค้าใช้รถ Royal Enfield Fury 500 ซีซี No.246 เข้าแข่งขันจนสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเค้าและทำให้โรยัลเอ็นฟิลด์ได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้นในยุคนั้น
ดีไซน์ใหม่
ยังคงใช้พื้นฐานเดิมจาก Interceptor 650 แต่ก็มีปรับเปลี่ยนเยอะอยู่พอสมควร ทั้งเรื่องดีไซน์และสมรรถนะมาในสไตล์ Scrambler เบาะใหม่ “แบทสไตล์” แฮนด์ทรงกว้างสไตล์รถออฟโรด ฝาข้างแบบป้ายเบอร์ทรงกลม บังโคลนหน้าหลังยกสูง ล้อหน้า 19 นิ้ว หลัง 17 นิ้ว มาพร้อมกับยางแบบกึ่งออฟโรด ส่วนท่อจับรวบเป็น 2 ออก 1 วิ่งล่างยกปลายสูงตามสไตล์ ไฟหน้า ไฟท้าย ทรงกลม การดีไซน์ถือว่าทำออกมาได้อย่างลงตัวสวยงาม มีทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น 5 สี โดยรวมดูเพรียวขึ้น กระชับ และหล่อในทุกมุมมอง
สำหรับผมก้าวสำคัญเกิดขึ้นตั้งแต่งานออกแบบของ Guerrilla 450 เห็นได้ชัดถึงงานดีไซน์ออกแบบที่ต่างออกไปและลงตัวมากยิ่งขึ้น โดยการดึงเอานักออกแบบชื่อดัง Mark wells มาเป็น Chief of Design & Strategy ให้กับทาง Royal Enfield ทำให้ส่งผลถึงงานออกแบบรถรุ่นใหม่หลายรุ่นที่ดูลงตัวอย่างชัดเจน
ขุมพลังเดิมแต่ปรับจูนใหม่
เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง ขนาด 648 ซีซี SOHC 8 วาล์ว ระบายความร้อนด้วยออยคูลเลอร์ ให้พละกำลังสูงสุด 47.4 แรงม้าที่ 7,150 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 56.5 นิวตันเมตรที่ 5,150 รอบต่อนาที พื้นฐานเครื่องยนต์เดิมแต่มีการปรับแต่งให้แรงบิดดีขึ้น เพื่อตอบโจทย์การขับขี่แบบ Off-Road ได้ดีมากยิ่งขึ้น
โดยส่วนตัวชื่นชอบเอกลักษณ์ของเครื่องยนต์บล็อกนี้อยู่แล้ว ขี่สนุกตอบสนอง ติดมือ ทำความเร็วสูงสุดในทริปนี้ได้อยู่ประมาณ 160 กม./ชม. การเร่งแซงต่าง ๆ ทำได้สบาย ๆ การนำออกไปเดินทางไกลหายห่วง แช่ 100-140 กม./ชม. สนุกครบรสใช้งานได้ยาว ๆ
ช่วงล่างใหม่
อัปเกรดช่วงล่างใหม่ โช้คหน้าแบบหัวกลับจาก Showa ขนาด 43 มม.ระยะยุบ 130 มม.โช้คหลังคู่ก็ Showa ระยะยุบ 115 มม. ให้มาแบบไม่มีกั๊ก
ด้วยความที่เคยมีประสบการณ์กับการขับขี่ Interceptor 650 ในการเดินทางจาก กทม.- น่าน ผ่านโค้งที่ว่าท้าทายที่สุด บอกเลยว่าขี่สนุก เอาอยู่หมด แต่พอมาเจอช่วงล่างชุดนี้ เฟิร์มมาก แต่อาจจะดูแข็งกระด้างขึ้น แลกมาด้วยสมรรถนะในการเข้าโค้ง การลุยออฟโรดที่ดี และโหดได้มากยิ่งขึ้น สามารถกดรถเข้าโค้งออกโค้งได้เต็มข้อไปเลย
ระบบเบรกหน้าดิสก์เดี่ยว ขนาด 320 มม. คาลิปเปอร์เบรก ByBre แบบ 2 ลูกสูบ หลังดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 270 มม. คาลิเปอร์เบรก ByBre แบบลูกสูบเดียว มาพร้อมระบบ ABS 2 Channel สามารถเปิดได้ที่ด้านหลัง เพิ่มความสนุกให้กับการขี่ในทางออฟโรด ระบบเบรกไล่น้ำหนักมาได้ดี หนึบเอาอยู่ทุกสภาพเส้นทาง
วงล้ออลูมิเนียมแบบซี่ลวด หน้า 19 นิ้ว หลัง 17 นิ้ว มาพร้อมกับยาง หน้าขนาด 100/90 – R19″ ขนาดยางหลัง 140/80 – R17″ ยางติดรถแบรนด์ MRF เป็นแบบยางกึ่ง Dual-Purpose สามารถใช้ได้ทั้ง On-Road และ Off-Road ทางเรียบหนึบไม่ค่อยส่าย ดอกยางไม่สูงมาก ส่วนทางดินไว้ทดสอบให้ใหม่ รอบนี้เจอแต่โคลนครับ อิอิ
มิติตัวรถและการควบคุม
ระยะฐานล้อ 1,460 มม. ระยะห่างจากตัวรถถึงพื้น 184 มม.ความสูงเบาะนั่ง 830 มม. น้ำหนักรถรวมของเหลว 216 กก. ความจุถังน้ำมัน 13.7 ลิตร ความสูงเบาะไม่มาก น้ำหนักเบาลงเล็กน้อยจากเดิม ตัวรถกระชับขึ้นมากดูเพรียวบางลง ก้มตัวเล็กน้อยจับแฮนด์ ขี่ทางไกลนาน ๆ สบายไม่เมื่อย ความสูงไม่ใช่ปัญหา อยู่ในระดับกลาง ๆ สาว ๆ ขี่ได้ ท่ายืนถือว่าวางโพสิชั่นทางดินได้ดีเข่าหนีบกระชับพักเท้า สามารถถอดยางเปลี่ยนเป็นแบบหนามสำหรับขับขี่ทางดินได้อีกด้วย
ไฮไลท์
หน้าจอสีทรงกลม TFT 4 นิ้ว คมชัดสู้แสง บอกข้อมูลครบจบ ความเร็ว รอบเครื่อง ทริป A-B อัตราสิ้นเปลือง อื่น ๆอีกมากมาย ควบคุมผ่านจอยสติ๊กที่ประกับแฮนด์ด้านซ้ายมือ เชื่อมต่อสมาร์ทโฟน เปิด-ปิดเพลง และนำทางด้วย Google Map บริเวณใต้เรือนไมล์ก็จะมีช่องจ่ายไฟแบบ USB-C
สรุป
อีกหนึ่งทางเลือกของสายคลาสสิก ดีไซน์ใหม่โดนใจแน่นอน ตัวจริงหล่อมาก สมรรถนะที่ให้มาเกินกว่าความคาดหมาย ด้วยเครื่องยนต์และช่วงล่าง ทำให้การขับขี่ทำได้อย่างมั่นใจ สนุกได้หลากหลายเส้นทาง เป็นรถที่เหมาะกับคนที่มองหารถที่สามารถใช้ได้ในทุก ๆ วัน จะใกล้ไกลก็ได้ที่สำคัญเราต้องมีสไตล์
ผมแนะนำครับ Royal Enfield Bear 650 ตอบโจทย์อย่างแน่นอน มาพร้อมกันทั้งหมด 3 เวอร์ชั่น 5 สี โดยตัวท็อปสุดเป็นอิดิชั่นพิเศษ ชุดสีขาว เฟรมสีเขียว พร้อมป้ายนัมเบอร์ 249 เบอร์แข่งของ Eddie Mulder มาพร้อม ชุดการ์ดแฮนด์ ชิลด์หน้า การ์ดท้อง กระเป๋าข้าง พร้อมลุยพร้อมเดินทางสุด ๆ ส่วนราคาค่าตัวตามนี้เลย
Boardwalk White ราคา 265,000 บาท
Petrol Green ราคา 268,000 บาท
Wild Honey ราคา 268,000 บาท
Golden Shadow ราคา 272,000 บาท
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่