รีวิว Yamaha AEROX 2025 เปลี่ยนโฉมทั้งที อะไรดีขึ้นบ้าง??
ทดสอบวิ่ง “เต็มทริป” กันไปเลย สำหรับ รีวิว Yamaha AEROX 2025 เพื่อพิสูจน์คำว่า “ซูเปอร์สปอร์ตออโตเมติก” ในทุก ๆ ด้านภายใต้เงื่อนไขการใช้งานจริง และครั้งนี้เรานำข้อมูลสำคัญๆอันเป็น “ผล”ของการเปลี่ยนแปลงรถรุ่นนี้มาฝากครบๆ..ดังนี้!!
จากเส้นทางการทดสอบที่เรานำไปขับขี่แบบ One Day Trip กรุงเทพ-นครนายก เปิดโอกาสให้เราได้ใช้ความเร็วทำเวลาและค้นหาข้อเท็จจริง และพบว่าจากบอดี้ที่ออกแบบใหม่ ปรับแง่มุมดีไซน์ของรถสปอร์ต R Series มาในทุกสัดส่วน โดยเฉพาะชุดแฟริ่งที่มีเหลี่ยมรีดลมตามหลักแอโรไดนามิกตั้งแต่หน้าไปจรดท้ายพร้อมกับวิงเล็ตเล็ก ๆ มีผลชัดเจนต่อการขับขี่ฝ่าอากาศไปด้วยความเร็วปลายขณะเดินทาง กล่าวคือ AEROX 2025 ให้อาการด้านหน้าที่ “นิ่ง” ขึ้นอย่างชัดเจน ยิ่งช่วงที่ขี่ด้วยท็อปสปีด 125 กม./ชม.หรือใช้ความเร็วเร่งแซงรถใหญ่ร่วมทาง ก็ยังไร้อาการหน้าส่าย เรียกว่าพัฒนายกระดับได้ตรงจุดจริง
2.ช่วงล่างดีขึ้นจริง
ประการต่อมาที่สัมผัสได้ว่าเปลี่ยนไปในเชิงบวกชัด ๆ ได้แก่ “ระบบกันสะเทือน” ซึ่งมีการเซ็ทอัพใหม่ทั้งระบบ โดยขยับไซส์โช้คหน้าขึ้นเป็นขนาดแกน 30 มม. (กระบอก 39 มม.) เปลี่ยนเบอร์สปริงให้แข็งขึ้นทั้ง 2 ตัว เพิ่มปริมาณน้ำมันโช้ค แต่ลดระยะฟรีของน้ำมันลง คงช่วงยุบไว้ที่ 100 มม.
ขณะที่โช้คหลังคู่แบบมีซับแทงค์ก็มีการปรับค่าสปริงใหม่เช่นเดียวกัน ช่วงยุบ 86 มม. ผลคือช่วงล่างโดยรวมแข็งขึ้นประมาณหนึ่ง แต่ก็แข็งในระดับที่ไม่กระด้าง แต่กลับให้ฟีลลิ่งหนึบนิ่ง จัดการอาการบัมพ์ ระนาดชะลอความเร็วและวิ่งผ่านรอยต่อถนนได้ดีมาก
ที่เป็นไฮไลต์คือทริปนี้เราเลือกไปเล่นชุดโค้งสวย ๆ แถวน้ำตกสาริกาซึ่งปกติจัดว่าเป็นโค้งปราบเซียนแห่งหนึ่ง แต่ช่วงล่าง AEROX 2025 รับมือกับโค้งท้าทายนี้ได้อยู่หมัด ไม่มีอาการโยน ไม่เหวอ ทำให้โค้งที่เลี้ยวยากกลายเป็นฟีลลิ่งมันส์ ๆ ได้อย่างน่าทึ่ง
3.การทรงตัวดีกว่าเดิม
นอกจากระบบช่วงล่างที่พัฒนาขึ้นมาได้ดีแล้ว ยังมีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างของตัวรถ ด้วยแนวคิดที่ทำให้เมนเฟรม มีชิ้นซับเฟรม Center Tunnel ดามเข้ามาเสริมความแข็งแรงตรงกลาง สิ่งนี้เองที่ทำให้เกิดความแกร่งของโครงสร้าง ช่วยลดการบิดตัวของเฟรมในขณะที่รถขับเคลื่อนในสภาวะต่าง ๆ ได้ดีขึ้น รวมถึงปรับมิติบางส่วน น้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 127 กก. ส่วนเรค/เทรล ปรับเป็น 26.5 องศา และ 102 มม.
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เราพบว่า “การทรงตัว” โดยรวมของ AEROX 2025 นิ่งและดีขึ้นผิดหูผิดตา กลายเป็นว่าขี่แล้วมั่นใจกว่าเดิม บางทีก็แอบรู้สึกว่าในจุดนี้แอร็อกซ์ทำได้เหนือกว่าคู่แข่งในพิกัดเดียวกันซะด้วยซ้ำ
4.ขุมพลังกระชับขึ้น

เครื่องยนต์ Blue Core ระบายความร้อนด้วยน้ำ 155 ซีซี. SOHC 4 วาล์ว VVA เวอร์ชั่นนี้มีปรับรายละเอียดเล็กน้อยในเรื่องแคมชาฟท์และตัวปรับความตึงโซ่ราวลิ้นแบบไฮดรอลิกส์ หลัก ๆ คือเครื่องยนต์สมูทและเสถียรกว่าเวอร์ชั่นเก่า ขณะที่ความจัดจ้านในรอบต้นกับประสิทธิภาพในรอบกลางและการเปิดของ VVA ยังคงเป็นคาแรคเตอร์เด่นของ AEROX ที่ยังคงจัดจ้านติดมือ เร่งเป็นมาเหมือนเดิม ส่วน “ความเร็วท็อปสปีด” ทริปนี้ขี่สู้ลมแรงๆมาได้สุดด้วยตัวเลข 126 กม./ชม.แต่คิดว่าหากลมนิ่งหรือได้สลิปสตรีมยาว ๆ หน่อยอาจจะไหลเข้า 130 กม.ชม.ได้ ..อย่างไรก็ตามส่วนตัวผู้ทดสอบเองมองว่าพละกำลังของแอร็อกซ์ยังคงเด่นไปที่รอบต้น–กลางซึ่งให้อารมณ์ขี่สนุกมากกว่า
5.ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม..??
เรื่องนี้ถือว่าน่าสนใจ เนื่องจากในเวอร์ชั่นก่อน ๆ ต้องยอมรับว่า AEROX ค่อนข้างกินน้ำมันกว่าเพื่อนร่วมค่ายอย่าง NMAX แต่เวอร์ชั่น 2025 นี้ เราได้วางโจทย์เติมน้ำมันเต็มถัง 5.5 ลิตร แล้ววิ่งทดสอบด้วยความเร็วแบบขี่เดินทางไม่ยั้งคันเร่ง จนได้ระยะทาง 119.6 กม. จากนั้นก็เติมน้ำมันคืนกลับไป 3.09 ลิตร คำนวนอัตราสิ้นเปลืองออกมาได้ที่ 38.70 กม./ลิตร เป็นบทสรุปว่า AEROX เวอร์ชั่น 2025 ประหยัดน้ำมันขึ้นกว่าเดิมแน่นอน ในจุดนี้ก็อาจได้รับผลดีจาก ความสมูทของเครื่องยนต์ แอโรไดนามิค การทรงตัว และช่วงล่างที่ดีขึ้นด้วยนั่นเอง
6.ฟังก์ชั่นครบ สะดวกสบายขึ้น
ในเรื่องสิ่งอำนวยความสะดวกก็มีมาครบกำลังพอดี
![]() |
![]() |
|---|---|
| ช่องใส่ของฝั่งซ้ายเวอร์ชั่นนี้มีพอร์ท USB-C มาให้แล้ว | ช่องเก็บของใต้เบาะขนาด 25 ลิตรใส่หมวกกันน็อคเต็มใบได้ 1 ใบ (แบบหงายขึ้น) |

-หน้าจอ LCD 4.2 นิ้ว เชื่อม Y-Connect ได้ ให้ข้อมูลสำคัญ ๆ เช่น อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย นาฬิกา วัดรอบ เลขความเร็ว เซ็ททริป มาครบครัน
-มีระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติ Stop & Start System ช่วยประหยัดน้ำมัน
-ระบบไฟส่องสว่าง Full LED พร้อม DRL สว่างสวยคมชัด ไฟหน้าได้ LED โปรเจ็คเตอร์หรือไฟลูกแก้วมาเลย

–ระบบเบรก ABS ที่ล้อหน้า มีดิสก์หลังมาให้แล้ว
7.ราคานี้..ถือว่าดี
![]() |
![]() |
![]() |
| สีน้ำเงิน Racing Blue | สีเทา-น้ำเงิน Silver Star | สีดำ-เทา Vivid Black |
AEROX 2025 มีสีใหม่ 3 แบบ ได้แก่ น้ำเงิน RACING BLUE, ดำ-เทา VIVID BLACK และสี เทา-น้ำเงิน SILVER STAR คันที่เรานำมาทดสอบ ก็สวยสะดุดตาจนได้รับความสนใจจากวัยรุ่นที่พบเราเข้ามาทักทายตลอดทาง
ราคาแนะนำเปิดมาที่ 85,900 บาท กับสมรรถนะโดยรวมที่ทดสอบแล้วออกมาเชิงบวกทุก ๆ มิติ ส่วนตัวผู้ทดสอบถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาครับ …แหม่ถ้าได้ TCS มาด้วย ก็จะเพอร์เฟคเลยนะ!!
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่






