Skip to content
2025 CVO Road Glide ST แบ็กเกอร์ตัวแรงเพิ่มสีสันใหม่เอาใจสาวก
แรงตั้งแต่เกิดกับแบ็กเกอร์จากทางค่ายรถแดนลุงแซม Harley-Davidson กับโมเดลที่ชื่อว่า 2025 CVO Road Glide ST ที่ปีนี้ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไรมากนัก มีเพียงการเพิ่มสีสันและทางเลือกใหม่ที่รับรองว่าถูกใจสาวกยิ่งกว่าเก่า
สำหรับโมเดลนี้จัดเป็นโมเดลพิเศษจำนวนจำกัด จากการใช้ชื่อว่า CVO หรือ Custom Vehicle Operation ซึ่งจะมาพร้อมเครื่องยนต์ขนาดบิ๊กเบิ้มพร้อมสไตล์และรายละเอียดแบบพรีเมียมเหนือระดับ อย่างไรก็ดีสำหรับโมเดลนี้อย่างที่เกริ่นไปข้างต้นคือจะยังใช้สเปคและดีไซน์เพิ่มเติมเรื่องของสีสันเท่านั้น
ดีไซน์ของโมเดลนี้แน่นอนว่ามาในแบบแบ็กเกอร์มาดดุดันด้วยแรงบันดาลใจมาจากรถแข่งในรายการ MotoAmerica King of the Baggers พร้อมสีสันและลายกราฟิกลายนกอินทรีย์ทะยานที่ด้านข้างพร้อมตกแต่งไฮไลท์ด้วยสีแดงดูลงตัวสุด ๆ นอกจากนี้ยังได้ความสปอร์ตและหรูหราจากชิ้นส่วนฟอร์จคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาที่บริเวณบังโคลนหน้า ครอบด้านบนถังน้ำมัน ท้ายรถ ปลายท่อและในจุดเล็ก ๆ อีกหลายจุดอีกด้วย
ขุมพลังจะเป็นเครื่องยนต์ Milwaukee-Eight 121 High Output ซึ่งเป็นเครื่องวีทวินระบายความร้อนด้วยอากาศขนาด 121 คิวบิกนิ้ว หรือ 1,977 ซีซี มีท่อไอเสียแบบ 2 – 1 – 2 ปลายท่อคู่ทำจากไทเทเนียมพร้อมแค็ปคาร์บอนไฟเบอร์ ใช้น้ำมันจากถังขนาด 22.7 ลิตร มีระบบเกียร์ 6 สปีด และส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยสายพาน ให้กำลังแรงสูงสุด 127 แรงม้าที่ 4,900 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดมากถึง 197 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที
ส่วนช่วงล่างนั้นจะเป็นเฟรมแบบท่อเหล็กกล้า ระบบกันสะเทือนด้านหน้าจะเป็นโช้คหัวกลับขนาด 47 มม.จาก Showa ปรับแต่งได้ทั้งพรีโหลด รีบาวด์และคอมเพรสชัน ส่วนด้านหลังจะเป็นโช้คคู่ที่ปรับแต่งได้เต็มระบบเช่นเดียวกันกับด้านหน้า
ระบบเบรกเอาอยู่ด้วย Brembo ด้านหน้าจะเป็นดิสก์เบรกคู่กับคาลิเปอร์เบรกเรเดียลเมาท์ 4 ลูกสูบ ด้านหลังจะเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวกับคาลิเปอร์เบรกลูกสูบเดี่ยว ส่วนล้อจะเป็นล้ออลูมิเนียมหล่อขึ้นรูปสีดำ 7 ก้าน รัดด้วยยางขนาด Dunlop Harley-Davidson Series ขนาด 130/60 – B19 และ 180/55 – B18 หน้าหลังตามลำดับ
เข้าเรื่องของเทคโนโลยีทันสมัยกันบ้าง สำหรับเรื่องของการขับขี่และความปลอดภัย ตัวรถมีโหมดการขับขี่มากถึง 8 โหมดที่สามารถเลือกใช้งานได้เลยโดยไม่ต้องจอดรถ ซึ่งมีโหมด Track และ Track+ สำหรับให้ไปซิ่งในสนามอยู่ในนั้นด้วย ยังมีระบบเบรก Cornering ABS ระบบกระจายแรงเบรกไฟฟ้า ระบบแทรคชันคอนโทรล ระบบควบคุมแดร็กทอร์คสลิป ระบบช่วยหยุดรถบนทางลาดชัน และระบบตรวจวัดลมยาง
ส่วนลูกเล่นเพื่อความสะดวกสบาย ๆ หลัก ๆ เลยก็จะเป็นหน้าจอสี TFT ขนาด 12.2 นิ้วแบบสัมผัสได้ ช่วยให้สามารถเลือกใช้งานโหมดการขับขี่ต่าง ๆ ได้สะดวกสบาย ๆ ถึงขีดสุด ทั้งยังเชื่อมต่อเข้ากับสมาร์ทโฟนเพื่อใช้งานฟังก์ชันต่าง ๆ ของโทรศัพท์ โดยเฉพาะระบบนำทางได้อีกด้วย ยังมีระบบเครื่องเสียง Rockford Fosgate Stage II ที่มีกำลังขับมากถึง 754 วัตต์ ช่วยให้สามารถฟังเพลงไปขับรถไปได้สบาย ๆ นอกจากนี้ยังมีช่องจ่ายไฟแบบ USB-C ให้ในช่องเก็บของด้านหน้าอีกด้วย
สุดท้ายนี้จำหน่ายด้วยกัน 3 เฉดสีคือ สีเงิน Mercury Silver, สีแดง Rally Red และสีดำแดง Hot Lap สีพิเศษที่ต้องเพิ่มเงินอีกจำนวนนึง โดยมีค่าตัวเริ่มต้นที่ 44,999 เหรียญสหรัฐ หรือราว ๆ 1.52 ล้านบาท แต่ทว่า บ้านเราเคยขายโมเดลนี้ปี 2024 ในสนนราคาค่าตัว 3,153,500 บาท สำหรับโมเดลใหม่นี้ราคาก็น่าจะไม่ต่างจากนี้มากนัก
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่
