2026 Brutale 800 เน็กเก็ดไซส์กลางสุดงามจาก MV Agusta

2026 Brutale 800 เน็กเก็ดไซส์กลางสุดงามจาก MV Agusta

 2026 Brutale 800 - MV-Agusta เริ่มเปิดโมเดลใหม่รับปีหน้ากันแล้วกับทาง MV Agusta ด้วยโมเดลใหม่อย่าง 2026 Brutale 800 เน็กเก็ดสปอร์ตไซส์กลางคันงามที่ครั้งนี้ไม่เพียงปรับให้สอดคล้องกับ Euro5+ แต่ยังมาพร้อมเทคโนโลยีอัดแน่นไม่แพ้ค่ายไหนในพิกัดเดียวกัน

ดีไซน์

ไม่ต้องพูดอะไรมากสำหรับค่ายนี้ ยังคงโหดดิบดุดันสมชื่อ มีแต่ชิ้นส่วนที่จำเป็น ไม่มีอะไรรกเลอะเทอะเกินการใช้งาน ทั้งยังสวยงามมีสไตล์ตามแบบฉบับของทางค่าย ด้วย DNA การออกแบบที่เหนือล้ำกว่าค่ายอื่น ๆ และจุดเด่นล้ำ ๆ อย่างท่อไอเสียและการใช้อาร์มเดี่ยวที่ทางค่ายยังยืนหยัด ต่างจากค่ายร่วมชาติที่กลับไปใช้สวิงอาร์มคู่แทน

เครื่องยนต์

2026 Brutale 800 - MV-Agustaขุมพลังของเจ้า 2026 Brutale 800 เป็นเครื่องสามสูบเรียง ขนาด 798 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ แบบ DOHC 4 วาล์วต่อสูบ พร้อมเพลาข้อเหวี่ยงแบบหมุนทวนเทคโนโลยีจากรถแข่ง MotoGP เคลมกำลังแรงม้าสูงสุดมาที่ 113 แรงม้าที่ 11,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 85 นิวตันเมตรที่ 7,500 รอบต่อนาที ซึ่งไม่ได้แรงน้อยลงจากเดิมแม้ ทว่ากลับมีแรงม้ามาจากขึ้นจากการปรับการจ่ายน้ำมันใหม่ ให้ผ่าน Euro5+ แล้วก็ตาม

นอกจากนี้ยังเคลมท็อปสปีดมาที่ 237 กม./ชม. และอัตราเร่งจาก 0 – 100 กม./ชม.ได้ใน 3.75 วินาที และ 0 – 200 กม./ชม.ได้ใน 12.30 วินาที

ช่วงล่าง

2026 Brutale 800 - MV-Agusta

ทางเอ็มวีอากุสต้าเลือกใช้เฟรมถักที่เป็นซิกเนเจอร์ของทางค่ายเช่นเดิม มีโช้คหน้าจาก Marzocchi ขนาด 43 มม. ปรับแต่งได้ทั้งพรีโหลด คอมเพรสชันและรีบาวด์ได้ ขณะที่ด้านหลังเป็นโช้คหลังเดี่ยวของ Sachs ปรับแต่งได้ทั้งพรีโหลด คอมเพรสชันและรีบาวด์ได้ ที่ปรับจูนให้เข้ากับโมเดลนี้เป็นพิเศษทำงานร่วมกับสวิงอาร์มเดี่ยว

ส่วนระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกหน้าคู่ 320 มม.กับคาลิเปอร์เบรก Brembo M4 ด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวกับคาลิเปอร์เบรก Brembo ส่วนปั๊มบนและปั๊มคลัตช์ใช้ของทาง Nissin ปิดท้ายเรื่องช่วงล่างด้วยล้ออลูมิเนียมรัดด้วยยาง Bridgestone S22 ขนาด 120/70 – ZR17” และ 180/55 – ZR17”

ระบบอิเล็กทรอนิกส์และฟีเจอร์

ทางค่ายจัดเทคโนโลยีทันสมัยให้กับเจ้าเน็กเก็ดสปอร์ตคันนี้มาให้ด้วย เด่น ๆ เลยก็คือ IMU แบบ 6 แกน ช่วยส่งข้อมูลให้กับระบบแทรคชันคอนโทรล ระบบเบรก Cornering ABS และระบบป้องกันการลอยตัวของล้อหลัง ยังมีระบบคันเร่งไฟฟ้า โหมดการขับขี่ 4 โหมด ได้แก่ Rain, Sport, Race และ Custom ควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง และระบบครูซคอนโทรล

นอกจากยังมีหน้าจอสี TFT ขนาด 5.5 นิ้ว เชื่อมต่อสมาร์ทโฟนได้ มีระบบไฟส่องสว่างในโค้ง

การจำหน่าย

โมเดลนี้นี้จะมีจำหน่ายเพียงสีเดียวเท่านั้นคือสีแดง Matt Ago Red โดยเริ่มต้นจำหน่ายที่บ้านเกิดหรืออิตาลีที่ 12,600 ยูโรหรือราว ๆ 475,000 บาท ส่วนบ้านเราคงไม่มีโอกาสได้สัมผัส นอกเสียจากจะมีสาวกนำเข้ามากันเอง

อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่

ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่