2026 Multistrada V4 Rally สายลุยรุ่นใหญ่ เน้นทางไกล ต้องคันนี้
และนี่คือการเปิดตัวโมเดลใหม่รับปี 2026 โมเดลที่ 4 แล้วสำหรับดูคาติ ครั้งนี้เป็นของ 2026 Multistrada V4 Rally แอดเวนเจอร์ไบค์รุ่นใหญ่ที่ออกมาในรูปแบบของแรลลี่ซึ่งก็จะเป็นการออกแบบมาให้เน้นการผจญภัยแบบยาว ๆ ไกล ๆ ด้วยจุดเด่นหลักของตัวรถอย่างถังน้ำมันขนาด 30 ลิตรนั่นเอง
เรื่องการออกแบบดีไซน์ถือว่าทำได้สมกับเป็นดูคาติ โดยยังคง DNA ความเป็นมัลติสตราดาไว้ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการใส่ซับเฟรมท้ายสีแดงซึ่งเป็นการแทรกตัวตนเอาไว้ได้อย่างลงตัว พร้อมเพิ่มความสวยแปลกตาด้วยชุดสีใหม่ด้วยสีเขียว Jade Green เติมเต็มความหรูหราด้วยล้อสีทอง และเอกลักษณ์ดีเทลความพรีเมียมด้วยถังน้ำมันที่มีการปัดเงาโชว์เนื้อโลหะ แต่สำหรับคนที่ชอบดูคาติที่มีสีแดงทางค่ายก็ยังมีให้เลือกเช่นกัน โดยจะเป็นสีแดงกับล้อสีดำแทน
นอกจากเรื่องความสวยงามภายนอกแล้วยังมีการปรับให้ด้านหน้าตัวรถสามารถป้องกันลมได้ดีมากขึ้นด้วยการเพิ่มขนาดชิลด์ด้านหน้าให้สูงขึ้นอีก 20 มม.และกว้างขึ้นอีก 40 มม. พร้อมกันนี้ยังมีดีเฟล็กเตอร์หรือแผ่นเบี่ยงลมเพิ่มเติมเข้ามาช่วยลดลมปะทะผู้ขับขี่และคนซ้อน
และเพื่อให้ขับขี่ใช้งานออฟโร้ดได้ดี พักเท้าจึงมี่ความกว้างขึ้นและสามารถถอดยางรองพักเท้าออกเพื่อใช้งานแบบออฟโร้ดได้ ส่วนพักเท้าของคนซ้อนมีการเพิ่มยางรองที่ใหญ่ขึ้นเพื่อลดแรงสั่นสะเทือนที่จะถ่ายทอดไปยังคนซ้อน
เครื่องยนต์
สำหรับโมเดลนี้จะใช้เครื่อง V4 Granturismo ที่มีขนาด 1,158 ซีซีระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ทางค่ายเคลมมาว่าแรงแต่เบา โดยมีแรงม้าสูงสุดมากถึง 170 แรงม้าที่ 10,750 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุดที่ 121 นิวตันเมตรที่ 8,750 รอบต่อนาที โดยตัวเครื่องมีน้ำหนักเพียง 66.7 กิโลกรัมเท่านั้น
โดยเจ้าเครื่องนี้นอกจากจะแรงแต่เบาแล้ว ยังโดดเด่นด้วยการใช้เพลาข้อเหวี่ยงแบบหมุนทวนซึ่งเป็นเทคโนโลยีจากสนามแข่ง MotoGP ช่วยต้านแรงเฉื่อยไจโรสโคปจากล้อ และยังช่วยให้ถ่ายทอดกำลังได้สมู้ทที่รอบต่ำ หนักแน่นที่รอบกลาง และไหลปลายที่รอบสูง และเพื่อประหยัดน้ำมันลูกสูบ 2 ลูกในแบงค์หลังของเครื่องจะหยุดทำงานตอนที่จอดรถและในรอบต่ำ
แชสซี
ต่อกันที่เรืองของแชสซี มีการใช้เฟรมอลูมิเนียมแบบโมโนค็อกที่น้ำหนักเบา ร่วมกับสวิงอาร์มคู่ที่มีการปรับตำแหน่งจุดยึดใหม่ให้สูงขึ้นป้องกันการยุบตัวที่ด้านหลังเวลาเปิดคันเร่ง ทำให้สามารถควบคุมรถได้ดีแม้ยามบรรทุกหนัก
ขณะที่ระบบกันสะเทือนของรถจะเป็นโช้คปรับไฟฟ้าแบบเซมิแอ็กทีฟจาก Marzocchi เต็มระบบ มีระบบเบรกด้านหน้าเป็นดิสก์เบรกคู่ขนาด 330 มม.พร้อมคาลิเปอร์เบรก Brembo Stylema เรเดียลเมาท์ 4 ลูกสูบ ด้านหลังดิสก์เดี่ยวที่ปรับให้ใหญ่ยิ่งขึ้นเป็น 280 มม. พร้อมคาลิเปอร์เบรก Brembo เช่นกัน
ส่วนล้อซี่ลวดแบบไม่ต้องใช้ยางในจะมาพร้อมยาง Pirelli Scorpion Trail II ขนาด 120/70 – 19” และ 170/60 – 17” ที่เรียกว่าลุยได้ในระดับนึง แต่ไม่ถึงกับฮาร์ดคอร์
ระบบอิเล็กทรอนิกส์
มาต่อกันเรื่องของระบบอิเล็กทรอนิกส์และฟีเจอร์ต่าง ๆ ซึ่งก็จัดเป็นส่วนสำคัญที่หลาย ๆ คนใช้เป็นจุดตัดสินใจเลือกซื้อรถอีกจุดนึง ซึ่งแน่นอนว่ารุ่นใหญ่แบบนี้ก็จัดเต็มมาพร้อมที่จะฟาดฟันแย่งยอดขายมาจากคู่แข่ง
จุดแรกคือเรื่องของเรดาห์หน้าหลังที่ยังเหนือกว่าใคร ทำให้ตัวรถรองรับระบบอะแดฟทีฟครูซคอนโทรล ระบบแจ้งเตือนมุมอับสายตา และระบบเตือนก่อนชนด้านหน้า พ้นจากเรื่องเรดาห์ไปตัวรถยังมีระบบประมวลผลแรงเฉื่อยหรือ IMU มีระบบคันเร่งไฟฟ้า โหมดควบคุมกำลังเครื่องยนต์ 4 โหมด โหมดการขับขี่ 5 โหมด (Sport, Touring, Urban, Enduro และ Wet ที่เพิ่มเข้ามาใหม่) ระบบควบคุมการลอยตัวของล้อ ระบบแทรคชันคอนโทรล ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก ระบบดูคาติควิกชิฟต์ 2.0 ระบบช่วยหยุดรถบนทางลาดชัน
ยังมีระบบ Ducati Vehicle Observer ที่มีเซ็นเซอร์ช่วยวัดข้อมูลต่าง ๆ มากถึง 70 ตัวมาช่วยป้อนข้อมูลให้ระบบเบรก Cornering ABS และระบบควบคุมการลอยตัวของล้อ โดยเจ้าตัวระบบเบรกตัวนี้ได้ผนวกเอาระบบกระจายแรงเบรกมาด้วย โดยมีการเพิ่มรูปแบบการทำงานแบบ Rear to Front คือเมื่อเราเบรกหลังอย่างเดียว แต่ระบบจะช่วยสั่งการเบรกหน้าอย่างเหมาะสมให้อัตโนมัติ ช่วยลดอาการหน้าทิ่มเวลาเบรก เพิ่มความสบายในการขับขี่โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลามีคนซ้อน
ระบบโช้คปรับไฟฟ้า Adaptive Ducati Skyhook Suspension สามารถปรับแต่งค่าต่าง ๆ ของโช้คให้เหมาะกับเส้นทางและสไตล์ของผู้ขับขี่ได้อัตโนมัติโดยไม่ต้องจอด แถมเจ้าโช้คนี้ยังมาพร้อมระบบปรับระดับความสูงอัตโนมัติ โดยลดความสูงลง 200 มม.ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง และระบบช่วยจอดรถขาตั้งคู่ร่วมกับการมีขาตั้งคู่ที่ออกแบบใหม่ช่วยให้ยกรถจอดขาตั้งคู่ได้ง่ายขึ้น
อีกทั้งยังมีระบบไฟส่องสว่างเวลาเลี้ยวโค้ง ไฟหน้าที่ทำหน้าที่ได้ดีขึ้นจากการลดเงาที่จะเกิดขึ้นหน้าล้อหน้า ระบบไฟ Coming Home ช่วยส่งคุณกลับเข้าบ้านได้ปลอดภัยจากการที่ไฟยังติดอยู่ต่ออีก 30 วิแม้ดับเครื่องไปแล้ว ระบบดูคาติเบรกไลท์ หรือไฟเบรกหลังที่จะกระพริบเตือนเมื่อเบรกกะทันหัน
มาถึงตรงนี้แล้วอย่าเพิ่งคิดว่าครบหมดแล้ว ยังมีระบบเพื่อความสะดวกสบายอย่างหน้าจอสี TFT 6.5 นิ้ว ที่ปรับปรุงการแสดงผลใหม่ ใช้งานได้สะดวกและรองรับเรื่องของระบบโช้คไฟฟ้า เชื่อมต่อเพื่อใช้งานสมาร์ทโฟนได้สะดวกยิ่งขึ้น ทั้งยังมีระบบแจ้งเตือนแรงดันลมยาง และระบบอุ่นมือปรับได้ 5 ระดับ เรียกได้ว่ามาแน่น ๆ มากเลยทีเดียว
สรุป
สำหรับโมเดลนี้มีการอัปเกรดหลายจุด ไม่ใช่แค่สีสันลวดลายใหม่เท่านั้น ถือว่าน่าสนใจมาก ๆ ส่วนเรื่องของการขายมีสองสีให้เลือกอย่างที่ระบุไว้ข้างต้น ขายในราคาเริ่มต้นที่ 29,190 ยูโรหรือราว ๆ 1.106 ล้านบาท แต่หากมาจำหน่ายเมืองไทยจริง ๆ ราคาก็น่าจะเพิ่มไปอีกพอสมควรเลย
ซึ่งเจ้า 2026 Multistrada V4 Rally นี่ก็มีคู่เปรียบมวยที่สูสีมาก ๆ จากเยอรมันที่มีอย่าง BMW R1300GSA ที่ออกแบบมาให้มีถังน้ำมันใหญ่พร้อมเดินทางไกล ๆ เหมือนกัน ซึ่งก็มีจุดได้เปรียบเสียเปรียบแตกต่างกันพอสมควร ซึ่งเราก็จะขอนำเสนอในภายหลัง
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่