Panigale V4 Lamborghini เบาและแรงที่สุดในตอนนี้

Panigale V4 Lamborghini เบาและแรงที่สุดในตอนนี้

Panigale V4 Lamborghini

ร่วมงานกันสร้างอะไรที่สุดยอดกันอีกแล้วสำหรับ 2 แบรนด์ยักษ์จากอิตาลี Ducati และ Lamborghini ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ทำโปรเจกต์ร่วมกันกับเจ้า Diavel แต่ครั้งนี้เป็นคิวของซูเปอร์ไบค์ กลายเป็นโมเดลใหม่ที่เบาและแรงที่สุดในตอนนี้ที่ชื่อว่า Panigale V4 Lamborghini โมเดลพิเศษจำนวนจำกัดมีเพียง 630 + 63 คันเท่านั้น (63 คันหลังสำหรับผู้ครบครองลัมโบร์กีนี สามารถเลือกทำให้มีสีเดียวกับรถยนต์ได้)

Panigale V4 Lamborghini

สำหรับดีไซน์ของเจ้าคันนี้ก็เบสออนซูเปอร์ไบค์ของดูคาติและนำสไตล์ของ Revuelto ไฮบริดซูเปอร์สปอร์ตคาร์ของทางแบรนด์กระทิงดุมาผสมผสานเข้าด้วยกัน โดยนำชุดสีของทางฝั่ง 4 ล้อมาใช้ในฝั่ง 2 ล้อเกิดเป็นชุดสีไตรคัลเลอร์ใหม่ ประกอบด้วยสีเขียว Verde Scandal สีเทาเข้ม Grigio Telesto และสีเทาอ่อน Grigio Acheso พร้อมแฟริ่งคาร์บอนไฟเบอร์โชว์ลายช่วยเพิ่มความเข้มดุดัน

Panigale V4 Lamborghini

Panigale V4 Lamborghini

นอกจากนี้ยังมีดีเทลพิเศษอย่างล้อฟอร์จอลูมิเนียมและเบาะนั่งดีไซน์พิเศษสำหรับคันนี้ เป็นแบบเดียวกันกับที่ใช้ใน Revuelto อีกทั้งยังมีท้ายและวิงก์เล็ตที่ออกแบบให้มีเส้นสายแบบเดียวกันกับฝั่ง 4 ล้ออีกด้วย

และสำหรับเรื่องขุมพลังก็อย่างที่บอกว่าคันนี้มีพื้นฐานมาจากรหัส S ดังนั้นสเปคพื้นฐานจึงคล้ายกัน โดยจะมีเครื่องยนต์ชื่อว่า Desmosedici Stradale ที่เป็นเครื่อง 4 สูบวี 90 องศา ขนาด 1,103 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมระบบวาล์วแบบเดสโดรมิกไทมิ่ง ติดตั้งท่อไอเสียไทเทเนียมปลายคาร์บอน Akrapovic เคลมกำลังสูงสุดมาที่ 218 แรงม้าที่ 13,500 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 122.1 นิวตันเมตรที่ 11,250 รอบต่อนาที ซึ่งมากกว่าโมเดล S เล็กน้อยจากการมีท่อเข้ามาเพิ่มนั่นเอง

และจากการที่มีการไล่เบาด้วยวัสดุน้ำหนักเบาอย่างคาร์บอนไฟเบอร์และไทเทเนียมทำให้โมเดลนี้เบาลงมาอีก 2 กก. เป็น 185 กิโลกรัม ไม่รวมน้ำมันในถังอีก 17 ลิตร เท่ากับว่าตอนนี้หากคิดคำนวณอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนักแล้วจะเป็น 1.18 ตัวต่อกิโลกกรัมกันเลยทีเดียว (โมเดล S จะอยู่ที่ 1.15) เรียกว่าแรงสุดของทางค่ายในตอนนี้แล้ว

Panigale V4 Lamborghini

ส่วนช่วงล่างนั้นจะไม่ต่างกันก็จะมีเฟรมอลูมิเนียมแบบฟรอนต์เฟรมที่ปรับแต่งความแข็งเฉพาะจุดให้เหมาะสม มีระบบกันสะเทือนไฟฟ้า Ohlins Smart EC 3.0 ด้านหน้าเป็นโช้คหัวกลับ Ohlins NPX 25/30 ขนาด 43 มม. ปรับแต่งได้เต็มระบบ ด้านหลังจะเป็นโช้คเดี่ยว Ohlins TTX36 ร่วมกับสวิงอาร์มคู่อลูมิเนียมแบบกลวง ส่วนระบบเบรกจะเป็นดิสก์เบรกหน้าคู่ 330 มม. กับคาลิเปอร์เบรกเรเดียลเมาท์ โมโนบล็อก Brembo Hypure 4 ลูกสูบ ด้านหลังจะเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 245 มม.กับคาลิเปอร์เบรก Brembo แบบ 2 ลูกสูบ พร้อมระบบเบรก Race eCBS ส่วนล้อจะเป็นอลูมิเนียมฟอร์จอย่างที่บอกไปแล้ว กับยาง Pirelli Diablo Supercorsa SP V4 ขนาด 120/70 – ZR17 และ 200/60 – ZR17 หน้าหลังตามลำดับ

ส่วนเรื่องของเทคโนโลยีก็จะจัดเต็มทั้งระบบคันเร่งไฟฟ้า โหมดการขับขี่ โหมดควบคุมกำลังเครื่องยนต์ ระบบ Ducati Vehicle Observer คำนวณอาการของตัวรถขณะนั้น ๆ ผ่านเซ็นเซอร์ 70 ตัวเพื่อควบคุมสั่งงานระบบอื่น ๆ ให้ทำงานได้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแทรคชันคอนโทรล ระบบควบคุมการลอยตัวของล้อ ระบบช่วยออกตัว ยังมีระบบควบคุมการสไลด์ ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก ควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง ระบบไฟเตือนเมื่อเบรกกะทันหัน ระบบควบคุมความเร็วในพิท และระบบยกเลิกไฟเลี้ยวเองอัตโนมัติ

ทีนี้มาพูดถึงความพิเศษต่าง ๆ ในโมเดลนี้นอกเหนือไปจากด้านดีไซน์ ยังมีดีเทลพิเศษเฉพาะรุ่นไม่ว่าจะเป็นเพลทบนเครื่องยนต์พร้อมชื่อเครื่องยนต์ แผงคออลูมิเนียม CNC พร้อมเลเซอร์เป็นนัมเบอร์ของแต่ละคันไม่ซ้ำกัน มีอนิเมชันตอนบิดกุญแจเปิดรถ โดยกุญแจรถก็จะมียิงเลเซอร์บอกนัมเบอร์ของรถตรงกันกับแผงคอด้วย

สำหรับความพิเศษนั้นยังมีชุดคลัตช์แห้ง พักเท้า ก้านเบรกและก้านคลัตช์ปรับระดับได้เพื่อให้ลงตัวยิ่งขึ้น และสำหรับคนที่ชอบขับขี่ในสนามก็จะมีชุดฝาถังซิ่ง ท่อดักลมคาลิเปอร์เบรกหน้า ฝาครอบคลัตช์แบบเปิดคาร์บอนไฟเบอร์ และชุดท้ายสั้น ซึ่งทั้งหมดนี้แถมมาให้จากโรงงานเลย

สุดท้ายนี้แต่ละคันจะมาพร้อมใบรับรอง ผ้าคลุมพิเศษและกล่องพิเศษสีเดียวกับตัวรถ พร้อมส่งในลังไม้พิเศษรวมถึงสแตนด์ท้ายสีแมตช์กับตัวรถอีกด้วย

สำหรับราคาเริ่มต้นที่ราว ๆ 2.68 ล้านบาทแบบยังไม่คิดภาษี โดยจะเริ่มส่งมอบเดือนกันยายน 2025 เป็นต้นไป งานนี้ในไทยก็น่าจะมีมาเช่นกัน คาดว่าคงมีแค่ 1 คัน เหมือนที่ผ่านมา งานนี้ใครได้ขี่ได้เป็นเจ้าของเรียกว่ามีบุญตูดโดยแท้

อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่

ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่