รีวิว 2025 XADV 750 ออกทริปขี่จริงนครนายก
MTC เคยทดสอบรีวิว 2025 XADV 750 ซึ่งเป็นการพูดถึงพื้นฐานและการเปลี่ยนแปลงกันไปแล้ว แต่รอบนี้จะเป็นการทดสอบจับออกทริปเดินทางกันแบบพอหอมปากหอมคอในฉบับวันเดย์ทริป กทม. – นครนายก ขอจับฟีลลิ่งทัวริ่งสักสองร้อยกว่ากิโล พอไปถึงนครนายก ก็ไปหาทางจับฟีลลิ่งแอดเวนเจอร์กันอีกนิดหน่อย ลองอ่านกันดู…
รูปลักษณ์
ผมก็ได้ทดสอบเจ้าคันนี้มาตั้งแต่ปี “2017 -0 Gen 1” / ” 2021 – Gen 2”/ ” 2025 – Gen 3” มันหล่อขึ้นกว่าเดิมนะ แฟริ่งด้านหน้าที่เล็กลง รวมไปถึงไฟหน้าที่มีการบิลต์อินไฟเลี้ยวเข้ามาอยู่ในเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ ฮอนด้าเขาเคลมมาว่าเป็นครั้งแรกของโลกมอเตอร์ไซค์เหมือนกับ Forza750 ถือว่าดีเลยดูไม่เกะกะ หน้าจะได้เล็กลงดูหล่อขึ้นกว่าเดิมด้วยนะ
![]() |
![]() |
![]() |
ในส่วนอื่น ๆ ที่เปลี่ยนไปก็จะมีชิลด์หน้าที่ตอนนี้ปรับระดับด้วยมือเดียวได้ แฟริ่งด้านข้าง ไฟท้ายก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร แล้วก็มีเบาะนั่งดีไซน์ใหม่ กับเรื่องของจอเรือนไมล์ที่เป็นแบบดิจิทัล TFT ขนาด 5 นิ้ว อันนี้ก็ติดอยู่เรื่องนึงคือ ทำไมล็อคไว้ที่ 199 กม./ชม.ไม่ทะลุ 200 ทำไม!?

ส่วนเรื่องสีสันคันที่ผมเอามารีวิวไม่ใช่สีสแตนดาร์ด แต่เป็นสี Special Edition สีเหลืองทูโทน สวิงอาร์มสีดำ กระบอกโช้คอัพด้านหน้าก็จะเป็นสีดำ ซึ่งต้องจ่ายเงินเพิ่มเติม ส่วนสีสแตนดาร์ดจะมี ขาว เทา ดำ ก็จะให้โช้คหน้าสีทอง และสวิงอาร์มหลังสีเทา จะมีจุดต่างเพียงแต่ภายนอกเท่านี้
ท่านั่ง บังคับเลี้ยว
พูดเป็นเล่นไปทดสอบ 2 รุ่น Forza750 กับ XADV ผมบอกเลยว่า XADV คอนโทรลตัวรถได้ดีกว่าเห็นได้ชัด ซึ่งเหตุนี้ก็มีที่มาที่ไป คือ ตัวแฮนด์มีความกว้างกว่าทำให้การบังคับเลี้ยวได้ดี น้ำหนักในการกดแฮนด์เลี้ยวคล่องตัว แต่ก็มีข้อเสียคือพอแฮนด์กว้างใช้งานในเมืองก็ลำบากหน่อย ไหนจะกระจก ไหนจะการ์ดแฮนด์ แต่ถ้าชิน ๆ อยู่แล้ว หรืออย่างผมที่เคยมี ADV350 ใช้งานในชีวิตประจำวันอยู่แล้วบอกเลยว่าไม่ต่างกันเลยกะระยะได้อย่างสบาย ๆ
ในส่วนท่านั่งตำแหน่งเบาะถือว่าสบายเลยลองออกทริป 200 กิโลเมตรตอบโจทย์ เพราะตัวเบาะดีไซน์มาใหม่มีตัวสต็อปเปอร์กระชับบิดออกตัว เร่งแซงแล้วไม่ถอยไปข้างหลัง ตำแหน่งวางเท้าก็วางได้แบบสบาย ๆ สูง 165 – 170 ผมบอกเลยไม่กังวล ขี่ได้แน่นอน
เครื่องยนต์ GEN 3
พื้นฐานเครื่องยนต์ยังคงเดิมคือใช้เครื่องยนต์ 2 สูบเรียง ขนาด 745 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ แบบ SOHC 4 วาล์วต่อสูบน้ำ ใช้ระบบเกียร์แบบ DCT 6 สปีด ส่งกำลังสู่ล้อหลังด้วยโซ่ มีถังน้ำมันขนาด 13.2 ลิตร เคลมตัวเลขกำลังแรงม้าสูงสุดมาที่ 57.79 แรงม้าที่ 6,750 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 69 นิวตันเมตรที่ 4,750 รอบต่อนาที
แต่มารอบนี้มีการปรับจูนตัวเกียร์ DCT มาใหม่ จะรู้สึกได้ถึงความสมู้ทในการเปลี่ยนเกียร์มากขึ้น จะรู้สึกได้เลยตอนย่านความเร็วต่ำ ๆ การบิดคันเร่งจะได้ฟีลลิ่งคล้าย ๆ รถสายพาน ฮอนด้าปรับจูนเซ็นเซอร์การชดเชยน้ำมันไว้เพื่อให้คลัตช์คู่ทำงานได้เนียนมากขึ้น ดีกว่าเดิมแบบเห็นได้ชัด ๆ เลยส่วนนี้
ถ้าพูดถึงความแรงก็ถือว่าแรงเลยนะรถมีแรงบิดดีอยู่แล้ว ความเร็วปลายที่ทำได้ในทริปนี้จากหน้าจอเรือนไมล์ก็ประมาณ 182 กม/ชม. ซึ่งต้องเข้าใจก่อนว่าเรือนไมล์ไม่ได้ตรงเท่า GPS บวกลบนิดหน่อย แต่ส่วนตัวก็ถือว่าแรงเลย แต่ตอนที่ทดสอบก่อนหน้านี้ได้ถึง 198 กม./ชม.เลยทีเดียว
นอกจากนี้เรื่องความสนุกความมันส์ สำหรับเครื่องและเกียร์รุ่นนี้ไม่เป็นรองใครในตลาดแน่นอน นอกจากนี้เจ้า DCT มีทั้งโหมด Auto และ Manual อันนี้ละที่การันตีได้ว่าไม่ต้องเร็ว แต่มันส์ได้ตลอด ปรับโหมดสปอร์ตและชิฟต์เกียร์เอง แค่นี้ก็มันส์ได้แล้ว
อัตราการสิ้นเปลือง
มีหลายคนที่ถามเรื่องประหยัดน้ำมัน 30 กม./ 1 ลิตร ทำได้ไหม?? ผมขอตอบให้สำหรับสายประหยัดเลยนะว่า “ทำได้” แต่มีเงื่อนไขว่า คุณจะต้องเลี้ยงคันเร่งไฟฟ้าแบบนิ่ง ๆ หรือตั้งครูซคอนโทรลที่ 80 กม./ชม. ให้รอบเครื่องยนต์ไม่เกิน 2,500 รอบต่อนาที ซึงผมลองแล้ว จากบ้านผมที่รัชดาไปจนถึง ปตท.นครนายก ระยะทาง 70 กิโลเมตร ช่วงเช้า รถไหล ๆ สบาย ๆ สามารถทำตัวได้ 31.6 กม./ 1 ลิตร แต่ถ้าคุณบิดคันเร่งมากขึ้น ความเร็วเพิ่มขึ้น รอบเครื่องยนต์สูงขึ้น ตัวเลขนี้จะตกไปอยู่ที่ 20 กลาง ๆ ทันที ผมลองมาให้แล้ว…ทำได้ แต่อย่าทำเลย มันเครียด!!
ช่วงล่างแบบเป็ด ๆ
ช่วงล่างใช้เฟรมไดมอนด์สตีลไปป์ มีโช้คหน้าหัวกลับ Showa SFF-CA ขนาด 41 มม. ด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวร่วมกับสวิงอาร์มแบบโปรลิงก์ ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกหน้าคู่ 296 มม. กับคาลิเปอร์เบรกเรเดียลเมาท์ 4 ลูกสูบ ด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาด 240 มม.กับคาลิเปอร์เบรกแบบลูกสูบเดี่ยว พร้อมระบบเบรก ABS แบบ 2 ชาแนล ล้อจะเป็นล้อซี่ลวดแบบไม่ใช้ยางใน รัดด้วยยางแบบดูอัลเพอร์โพสขนาด 120/70 – R17 และ 160/60 – R15 หน้าหลังตามลำดับ
ฟีลลิ่งช่วงล่างของเจ็นนี้ ส่วนตัวผมว่าไม่ต่างจากเดิมเลยนะ ซึ่งมันดีอยู่แล้ว ช่วงล่างที่ให้มารองรับการขับขี่สไตล์ออนโร้ดแอดเวนเจอร์แบบระดับเริ่มต้นนะ ผมขอให้เป็นเปอร์เซ็นต์แล้วกัน 80% : 20% ออนโร้ด 80% แอดเวนเจอร์ 20% ถนนดำถือว่าดีเลยการโยกรถคอนโทรลดี จะให้ดีกว่าคือสถานการณ์เจอหลุมบ่อ รอยต่อถนนคันนี้พร้อมเลยไม่ต้องมาคอยหยอด คอยเบรก ลุยไปเลย
แต่ถ้าจะเอาไปลุยก็ไปได้แบบเริ่มต้นนะใต้ท้องไม่ได้มีการ์ดกันกระแทกแคร้งมาให้โดนกระแทกไปที ร้องเลยนะอ่างน้ำมันเครื่องแตกแน่ ๆ อย่างที่บอก มันเป็นเป็ดไปได้หมด แต่ไม่สุดไปทางใดทางนึง ถ้าจะให้สุดมันก็ต้องเซ็ตรถบวกกับแต่งให้ไปทางใดทางหนึ่งไปเลย
ระบบเบรกที่ให้มาก็เรียกว่าเพียงพอกับการใช้งานทั่วไปตามสไตล์ของรถ แต่ถ้าบางคนอยากได้ทรงนี้แล้วไปจับแต่งเพิ่มความแรงเพื่อจะเอาไปซิ่งทางดำเป็นหลักอาจจะต้องอัปเกรดเพิ่มเติม ส่วนออฟโร้ดนั้นบอกเลยว่าเหลือ ๆ เพราะพอลุยทางฝุ่นก็ไม่ได้ขับเร็วมากอยู่แล้ว
เทคโนโลยี มีของดีมาใหม่
ผมขอไม่พูดถึง ABS และ Traction Control มันมีเป็นพื้นฐานมาตั้งแต่ Gen 1 อยู่แล้ว ระบบการทำงานก็ไม่ต่างเดิม ส่วน Riding Mode มีให้ใช้ทั้งหมด 5 โหมด จะมีโหมดที่ Forza ไม่มีคือ Gravel ที่จะมีกำลังเครื่องยนต์ช่วยในการตอบสนองในทางดิน ทางลุยได้ดีกว่าโหมดอื่น ๆ ปรับง่าย ๆ ระหว่างขับขี่ได้เลยเพียงปิดคันเร่งเพียงเสี้ยววินาที
แต่พระเอกคันนี้เลยคือ เทคโนโลยีครูซคอนโทรล ที่เพิ่มเข้ามาในเจ็นนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มความสบายในการเดินทาง รวมไปถึงช่วยในเรื่องประหยัดน้ำมันด้วย ใช้งานเซทติ้งได้แบบง่าย ๆ เลย แต่ก็มีเงื่อนไขเรื่องความเร็วต้องมากกว่า 50 กิโลเมตร / ชั่วโมง หรือเกียร์ 3 ขึ้นไปถึงจะทำงาน ส่วนการจะยกเลิกระบบก็เพียงแค่แตะเบรกระบบครูซคอนโทรลก็จะยกเลิกอัตโนมัติทันที สิ่งที่รถยุคใหม่คลาสกลางต้องมี ทางค่ายก็ให้มาหมดแล้วพร้อมใช้ แค่นี้ก็คุ้มแล้ว
ส่วนฟีเจอร์เพื่อความสะดวกสบายก็จะมีช่องเก็บของใต้เบาะขนาดใหญ่ 22 ลิตร ช่องเก็บของด้านหน้าฝั่งขวามือ ช่องจ่ายไฟแบบ USB-C ใกล้กับแฮนด์บาร์ให้ใช้ได้สะดวก ระบบยกเลิกไฟเลี้ยวอัตโนมัติ และระบบสมาร์ทคีย์
สรุป รีวิว XADV 750 2025 ตัวจบบิ๊กสกู๊ตเตอร์
ตัวจบบิ๊กสกู๊ตเตอร์ในที่นี้ คือ จบทุกทาง ไม่ใช่จบทางใดทางนึงจะออนโร้ด แอดเวนเจอร์ สปอร์ต ทัวร์ริ่ง ให้ได้เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เหมาะสำหรับคนที่อยากได้รถขี่ง่าย ๆ ไม่ต้องกำคลัตช์ เข้าเกียร์เล่นได้ หรือจะใช้โหมดออโตเมติกก็ได้ ขึ้นเขาลงเขาก็ปลอดภัยกว่าเชนเกียร์ได้ ท่านั่งสบาย เสียอย่างเดียว U-Box ใส่ของได้น้อย ถังน้ำมันเชื้อเพลิงความจุน้อยไปหน่อย รถอะไรไม่มีข้อเสีย บ้าไปแล้ว จริงไหม
ส่วนค่าตัวคันนี้สีเหลืองสีพิเศษ 438,000 บาท และสีสแตนดาร์ด ขาว เทา ดำ ราคา 433,000 บาท ใครอยากได้บิ๊กไบค์คลาสกลางมีคาแร็คเตอร์หลากหลายคันนี้ไม่ผิดหวัง
อ่านทดสอบรีวิวรุ่นอื่น ๆ คลิกที่นี่
ติดตามข่าวสารทางแฟนเพจได้ที่นี่























