รีวิว CBR1000RR-R 2025 SP ซูเปอร์ไบค์รุ่นล่าสุดจาก Honda
อัปเกรดให้เต็มระบบ ขนเอาเทคโนโลยีจากสนามแข่งลงมาใส่ให้แบบจัดเต็ม ปรับปรุงใหม่เกือบทั้งคัน กับเจ้า Honda CBR1000RR-R Fireblade SP หลังจากเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ใน ThaiGP2024 พร้อมราคา 1,134,000 บาท ไม่นานนักค่ายปีกนกก็ได้จัดให้เราได้ รีวิว CBR1000RR-R FIREBLADE SP 2025 กันที่สนามช้างฯ แบบจุใจ
โดยเปิดให้สื่อมวลชนไทยได้เข้ามาร่วมทดสอบสมรรถนะกันแบบจัดเต็ม 2 วันเต็มในสนามระดับโลก จ.บุรีรัมย์ พร้อมมอบโมเมนต์สุดพิเศษ ให้สื่อได้ทดสอบในรูปแบบ Night Endurance Test เพื่อค้นหาสมรรถนะของตัวรถ และจากการทดสอบที่เข้มข้นในระดับนี้ ทำให้เราได้ข้อมูลที่น่าสนใจในหลายจุดอย่างชัดเจน
ดีไซน์ใหม่ล้ำกว่าเดิม
แฟริ่งอัปเกรดใหม่ สะท้อนความเป็น Racing Replica ด้วยสีใหม่ GRAND PRIX RED เฉพาะรุ่น SP ด้านหน้ามีวิงก์เล็ตใหม่ย้ายมาด้านหน้ามากขึ้นบวกกับมีขนาดเล็กลงและน้ำหนักเบาลง ถ่ายทอด DNA จากรถแข่ง RC213V ลงมา มีชิลด์หน้าออกแบบใหม่ ตัดอากาศได้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งมีดีไซน์สวยงามลงตัวเหมือนรถแข่ง ยังมีอกล่างดีไซน์ใหม่ ควบคุมการไหลเวียนของอากาศรอบยางหลัง เพิ่มการยึดเกาะของยางให้ดีมากยิ่งขึ้น
“ซึ่งจริง ๆ แล้ว ยังมีแฟริ่งอีกหลายจุดที่ออกแบบให้เล็กและเบามากขึ้น โดยที่ยังคงประสิทธิภาพในเรื่องของแอโรไดนามิกไว้ดีเยี่ยม ซึ่งจากการทดสอบแล้ว พบว่าการเดินคันเร่งออกจากโค้งทำได้นิ่ง อาการหน้าลอยมีน้อยลง การนอนอยู่ในโค้งก็ทำได้ดีนิ่ง ช่วยให้ควบคุมรถได้ง่าย ซึ่งอาจจะเป็นจุดเล็ก ๆ แต่มีความสำคัญและมีบทบาทมากในรถแข่งระดับโลก ณ ปัจจุบันนี้”
เครื่องยนต์พัฒนาภายในใหม่
เครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยน้ำ แบบ DOHC 4 วาล์วต่อสูบ 999 ซีซี ระบบคันเร่งไฟฟ้า Ride by wire พละกำลังสูงสุดอยู่ที่ (เสปคยุโรป) 214 แรงม้าที่ 14,000 รอบต่อนาที แรงบิดที่ 113 นิวตันเมตรที่ 12,000 รอบต่อนาที
“แรงม้าที่สเปคไทยอยู่ที่ 164แรงม้า” ซึ่งถือเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ตามข้อกฎหมายบ้านเรา แต่ถามว่าม้าเท่านี้ยังแรงอยู่ไหม เอาเป็นว่าบินได้น่าจะบินไปแล้ว โดยตัวเครื่องยนต์นั้นมีการอัปเกรดชิ้นส่วนภายในห้องเครื่องหลายจุดมาก เพื่อพละกำลังและการควบคุมที่ดีมากยิ่งขึ้น
มีการปรับเปลี่ยนเพลาลูกเบี้ยวเพิ่มระยะยกของวาล์วไอดีและไอเสียใหม่ สปริงวาล์วใหม่ทั้งไอดีและไอเสีย วาล์วไอดี เปลี่ยนรูปทรง ลดน้ำหนักลงเพื่อลองรับกำลังเครื่องยนต์ได้ดีกว่าเดิม เรือนปีกผีเสื้อน้ำหนักเบาลง 250 กรัม เพลาข้อเหวี่ยงใหม่เบากว่าเดิม 450 กรัม ก้านสูบเปลี่ยนรูปทรงเบาลง 5 กรัมต่อก้าน ยังมีลูกสูบออกแบบใหม่ให้มีส่วนนูนเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มอัตราส่วนกำลังอัด ส่วนฝาสูบ เปลี่ยนทรงห้องเผาไหม้ใหม่ เพิ่มอัตราส่วนกำลังอัดจาก 13.4 เป็น 13.6 และเปลี่ยนพอร์ตไอดีเพื่อลดความต้านทานของทางเข้า ทำให้พละกำลังดีขึ้น เรือนลิ้นเร่งใหม่มอเตอร์คู่ แยกการทำงานระหว่างสูบ #1#2 – #3#4 และมี TP Sensor 2 ตัว ในการตรวจจับองศาเปิด,ปิดของวาล์วปีกผีเสื้อ ตลอดไปจนถึงอัตราทดเกียร์ใหม่ เพื่อให้อัตราเร่งดีขึ้นทุกย่านเกียร์
ระบบเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล IMU 6 แกนจาก Bosch ควบคุมผ่านโหมดการขับขี่ 3 โหมด + User Mode ปรับตั้งค่าได้อย่างละเอียด “P” Power พละกำลัง 5 ระดับ “T” HSTC หรือแทรคชันคอนโทรล 9 ระดับ “W” Wheelie Control กันล้อหน้าลอย 3 ระดับ “EB” Engine Brake เอนจิ้นเบรค 3 ระดับ
มาพร้อมกับระบบ Quick Shifter Up/Down สามารถปรับแรงกดได้ 3 ระดับซึ่งทำงานได้อย่างสมูทมากยิ่งขึ้น
จากการทดสอบบอกได้เลยว่า “พละกำลังมากขึ้นแต่ควบคุมได้ง่ายขึ้นไปด้วย ถึงน้ำหนักตัวรถไม่ได้ต่างไปจากเดิม แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสมรรถนะที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การได้มอเตอร์ลิ้นปีกผีเสื้อเพิ่มขึ้นมา ทำให้การเดินคันเร่งภายในโค้งทำได้นิ่มนวลมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รวมไปถึงเทคโนโลยีช่วยเหลือการขับขี่ที่ซับพอร์ต ให้มั่นใจในทุกจุดเบรกและจุดเร่ง
ช่วงเกียร์มีความชิดขึ้น และสามารถเรียกกำลังมาใช้ได้ในทุกชุดย่านเกียร์ ได้ระบบ Quick Shifter Up/Down เข้ามาช่วยต่อเกียร์ได้อย่างสมูททันใจ”
เฟรมตัวถังใหม่
เฟรมทรงไดมอนด์น้ำหนักเบาลง 1,100 กรัม ท่อนส่วนคอรถ เพิ่มความหนามากขึ้น เปลี่ยนจากเพลายึดเครื่องยนต์เป็นโบลท์ยึดสองฝั่ง เพื่อความมั่นคงที่มากขึ้น
ช่วงล่างไฟฟ้าอัจฉริยะ
โช้คหัวกลับ Ohlins NPX (SV) S-EC 3.0 ขนาด 43 มม. ปรับพรีโหลด คอมเพรสชันและรีบาวด์ได้ ระยะยุบ 125 มม.โช้คหลังเดี่ยว Ohlins TTX36 (SV) S-EC 3.0 พร้อมสวิงอาร์มโปรลิงก์ ปรับพรีโหลด คอมเพรสชันและรีบาวด์ได้ ระยะยุบ 143 มม.
มาพร้อมระบบโช้คไฟฟ้า Ohlins Smart Electronic 3.0 (S-EC 3.0) ที่เข้ามาช่วยให้การปรับเซ็ทช่วงล่างทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น ด้วยฟังก์ชัน Preload Guide ซึ่ง ระบบจะให้ใส่น้ำหนักตัวของผู้ขับขี่ (อย่าลืมรวมน้ำหนักชุด) และระบบจะทำการประมวลผลและแจ้งค่าที่เหมาะสมในการปรับพรีโหลดของรับบกันสะเทือนหน้าและหลังของเรา และระบบ EC 3.0 ยังสามารถตั้งค่า ACC และ Corner ของโหมดฝนและโหมดสปอร์ตได้อีกด้วย
“เป็นชุดช่วงล่างที่ประสิทธิภาพสูง สำหรับการขับขี่ในสนามโหด ๆ เบรกหนัก ๆ ความเร็วสูง เดินคันเร่งออกจากโค้งเร็ว ๆ ถือว่าสอบผ่านฉลุยเก็บหมดไม่มีอาการน่าเป็นห่วง หนึบเอาอยู่ ไม่สับไม่ส่าย น่าประทับใจมาก ๆ กับระบบโช้คไฟฟ้า Ohlins S-EC 3.0 ที่ช่วยให้เราสามารถเข้าถึงการปรับเซ็ทค่าของช่วงล่างได้ง่ายขึ้น สะดวกต่อการเซ็ตอัปสำหรับผู้เริ่มต้น ถือว่าจุดนี้เด่นมาก ๆ”
ในตัวรถยังมีระบบกันสะบัดปรับไฟฟ้า 3 ระดับ ทำงานร่วมกับ IMU ช่วยทำให้การควบคุมทำได้ดีมากยิ่งขึ้นนิ่งมากขึ้น
ระบบเบรกตัวเทพรหัส R
ระบบเบรกด้านหน้าดิสก์เบรกหน้าคู่ขนาด 330 มม. คาลิเปอร์เบรก Brembo Stylema R แบบเรเดียลเมาท์ ด้านหลังดิสก์เบรกหน้าเดี่ยวขนาด 220 มม. คาลิเปอร์เบรก Brembo 2 ลูกสูบ
“ความพิเศษของระบบเบรกชุดนี้คือคาลิเปอร์เบรกด้านหน้านั้นจะมีตัวลูกสูบที่มีการเจาะรูโดยรอบตัวลูกสูบ ช่วยให้ระบายความร้อนได้ดีมากยิ่งขึ้น ทำให้การขับขี่ในสนามที่จำเป็นต้องใช้เบรกบ่อยครั้ง และจำเป็นต้องแม่นยำในทุก ๆ รอบทำได้เป็นอย่างดี เบรกไม่เฟด และหนึบ กดรถได้อยู่ ทั้งยังมาพร้อมกับตัวช่วยระบบ Cornering ABS 3 โหมด Standard, Track, Race”
ยังไม่หมดกับเรื่องช่วงล่าง เจ้า 3 R ยังมีวงล้ออลูมิเนียมฟอร์จ น้ำหนักเบา มาให้ด้วย ซึ่งเป็นของดีมาก ๆ โดยมีขนาดยางหน้า 120/70-ZR17 M/C (58W) หลัง 200/55-ZR17 M/C (78W)
“สำหรับการทดสอบในครั้งนี้เราทดสอบด้วยอย่าง BRIDGESTONE RACING BATTLAX V02 ยางสลิกระดับที่ใส่แข่งขัน นวดกันไปหลายสิบรอบหนึบเอาเรื่อง ส่วนยางติดรถนั้นไม่ได้ทดสอบ”
ระบบไฟส่องสว่างไฟหน้าคู่ LED Headlight ดีไซน์โฉบเฉี่ยวดุดัน ไฟเลี้ยว LED Taillight & Winker มาพร้อมระบบปิดไฟเลี้ยวอัตโนมัติ และระบบไฟเตือนฉุกเฉิน “ESS” Emergency Stop Signal ไฟกระพริบเตื่อนเมื่อมีการเบรกกะทันหัน
หน้าจอเรือนไมล์สี TFT 5 นิ้ว มีรูปแบบการแสดงผลสองโทนสีให้เลือกคือขาวกับดำ ซึ่งสามารถปรับตามสภาพแสงได้แบบอัตโนมัติ และมีให้เลือก 3 รูปแบบ Standard, Track, Race และยังมีแยกอีก 5 ฟังก์ชันในแต่ละโหมด และยังมีระบบกุญแจอัจฉริยะสมาร์ทคีย์ให้ใช้งานได้สะดวกอีกด้วย
มิติการควบคุมใหม่
ตามสเปครถ ตัวรถจะมีความสูงเบาะ 830 มม. ขนาดกว้าง 745 x ยาว 2,100 x สูง 1,140 มม. น้ำหนักรถรวมของเหลว 201 กิโลกรัม “โดยจะมีแฮนด์ปรับใหม่ยกขึ้นมาให้ไม่หมอบมากจนเกินไป ทำให้นั่งขับขี่ได้สบายขึ้น แต่ยังสามารถหมอบหลบลมได้ดีอยู่เช่นเดิม ตัวถังน้ำมันเพรียวบางลง มาพร้อมจุดเว้าให้สำหรับใช้เข่าหนีบตัวทั้งเวลาเลี้ยวได้สะดวก ถือว่าท่านั่งสบาย คิดว่าสามารถนำไปใช้บนท้องถนนได้สบายมากยิ่งขึ้นในการเดินทาง”
สรุป
“ด้วยสมรรถนะทั้งหมดที่ได้ทดสอบผ่านสนามที่ใช้ในการแข่งขันระดับโลก ต้องยอมรับว่านี้คือรถซูเปอร์สปอร์ตตัวท็อป มีเทคโนโลยีหลายจุดให้นักบิดได้เข้าใจถึงรถที่ใช้ในการแข่งขัน การถ่ายทอดและการพัตนาโดยอาศัยความรู้และประสบการณ์จากสนามแข่ง คือกำไรสุด ๆ ของผู้ที่จะได้ครอบครองรถคันนี้ รวมไปถึงผมก็ได้แอบถามนักแข่งหลายคนที่ผ่านการทดสอบรถตัวเก่ากันมาหมดแล้ว เสียงออกเป็นเอกฉันท์ว่า แรงขึ้นจริง แต่ควบคุมได้ง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน ขี่ไม่เหนื่อยรถช่วยไว้ได้เยอะ และนี่คือ NEW CBR1000RR-R FIREBLADE SP 2025”