เรื่อง: GUN1000R
6 สุดยอดบิ๊กไบค์ “สปอร์ตคลาสสิก”.. ที่ไม่ใช่แค่แรงแต่ “หล่อ” สุดๆ
ความแรงอาจไม่ใช่คำตอบของทุกคนเสมอไป นอกจากพละกำลังที่มากมายแล้ว stylingและหน้าตาก็ถือเป็นเรื่องสำคัญในการหยิบมาพิจารณาเลือกรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจของหลายๆคน..
โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีกระแสมอเตอร์ไซค์คลาสสิกกลับมาทำตลาดกันมากมาย เราจึงได้เห็นบิ๊กไบค์สไตล์ “หล่อ แรง” กลับมาวิ่งกันบนถนนอีกครั้ง วันนี้ผมนำ 6 ตัวเลือกมอเตอร์ไซค์ มาให้เพื่อนๆได้พิจารณาคันต่อไปครับ!
1. Honda CB11000RS
สุดยอดพี่เบิ้ม 4 สูบสไตล์ sports classic แบบเต็มตัว ด้วยเครื่องยนต์ 1,100 cc. ที่คงเอกลักษณ์จากซูเปอร์ไบค์ในยุค 1970 ไว้เป็นอย่างดี และปรับแต่งให้ขี่ง่ายโดยกลิ่นอายแห่งความเป็นคาเฟ่เรซเซอร์..
เสียงเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง ระบายความร้อนด้วยอากาศ ยังคงถูกอัดแน่นไว้ใน Honda CB1100RS.. แม้จะเป็นโมเดลที่ถูกสืบทอดเชื้อสายซูเปอร์ไบค์พันธุ์แรงมาจาก Honda CB750 โดยตรง แต่ต้องบอกว่า เทคโนโลยีและความแรงนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง ด้วยเครื่องยนต์ DOHC ที่ถูกปรับจูนใหม่ ส่งผลให้การส่งกำลังในช่วงรอบต่างๆ โดยเฉพาะรอบปลายแสดงสมรรถนะออกมาได้อย่างนุ่มนวล..
แรงบิดสูงสุดมีตัวเลขอยู่ที่ 91 นิวตันเมตรที่ 5,500 รอบเท่านั้น ถือว่ามีมาให้อยู่เต็มกำลัง ในยามที่ต้องการความแรงถึงใจ แต่ก็อยู่ในลักษณะของความดุดันแบบสุขุมตามสไตล์ “Classic Muscle”
ซึ่งเหตุผลที่นำ CB1100RS มาจัดอันดับไว้ในลิสต์ก็เนื่องด้วยรหัส “RS” ที่พ่วงมาด้านหลัง.. รหัสแห่งความสปอร์ตจากฮอนด้า ที่พ่วงอะไหล่แฝงความสปอร์ตมาไว้ในรายละเอียดเต็มไปหมด ทั้ง ล้อแม็กหน้า-หลังอลูมิเนียมอัลลอยขนาด 17 นิ้ว, ยางสไตล์สปอร์ตช่วยลดน้ำหนักของแรงสะเทือนที่จะเกิดขึ้น, จานเบรกที่ถูกขยายไซส์จากโมเดล EX ขึ้นมาอยู่ที่ 310 มม. ทำงานร่วมกับปั๊มเบรก Dual Radial Mount จาก Tokico พร้อมระบบ ABS, แฮนด์บาร์ทรงต่ำ, โช้คอัพหน้าเทเลสโคปิคขนาดแกน 43 มม. ปรับระดับพรีโหลดได้ และโช้คอัพหลังแบบมีซับแท้งค์ปรับแต่งสปริงพรีโหลดได้จาก Showa..
สำหรับค่าสินสอดของ Honda CB1100RS ก็อยู่ที่ 566,670 บาท “Classic Muscle” ขนานแท้ ส่งต่อ DNA จากยุค 1970 ของซูเปอร์ไบค์พันธุ์แรง CB750.. แม้ไม่ได้มีระบบช่วยเหลือการขับขี่หรือเทคโนโลยีเต็มเปี่ยม แต่ด้วยบุคลิก คันเร่ง น้ำหนักตัว ทำให้ CB1100RS เป็นมอเตอร์ไซค์ “สุดหล่อ” เปี่ยมไปด้วยพลังที่สามารถควบคุมรถได้ง่าย สไตล์ Honda ..
2. Yamaha XR900
อย่าให้รูปร่างหน้าตาสุดเข้มคลาสสิกของ Yamaha XSR900 หลอกคุณได้ เพราะนอกเหนือจากเปลือกภายนอกที่ดูคลาสสิกอยู่แล้วนั้น ระบบภายในและสมรรถนะ “โคตรดุ” จัดเต็มลืมความคลาสสิกไปเลย!
แฟนๆมอเตอร์ไซค์เน็กเก็ตค่ายส้อมเสียงหลายคนอาจรู้สึกคุ้นๆเมื่อก้มลงอ่านข้อมูลตารางสเป็คของรถคันนี้ ทั้งเครื่องยนต์ 3 สูบเรียง ขนาดความจุ 847 ซีซี. 4 จังหวะ ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมเทคโนโลยีเฉพาะจากยามาฮ่า “CP3” โช้คอัพหน้าหัวกลับขนาดใหญ่ และโช้คอัพหลังปรับแต่งเต็มระบบ โครงรถอลูมิเนียม น้ำหนักตัวที่หนักไม่ถึง 200 กก. ฯลฯ.. หลายๆอย่างทำให้เราโยงไปถึง “Yamaha MT09”.. ด้วยพื้นฐานต่างๆ ที่ได้กล่าวไปทำให้ Yamaha XSR900 คือมอเตอร์ไซค์หน้าตา “คลาสสิก” ที่มีบุคลิก “ดีด” ที่สุดในทุกรุ่นที่กล่าวมาของคอลัมน์นี้ เรียกได้ว่าเป็นการจับเจ้า MT09 มาแต่งตัวให้หล่อคลาสสิกก็ว่าได้..
และตัวเลขที่ผู้ขับขี่ควรให้ความสนใจก่อนเริ่มเปิดคันเร่งออกตัว.. 113 แรงม้า ที่ 10,000 รอบ และแรงบิด 87.4 นิวตันเมตร ที่ 8,500 รอบเท่านั้นเอง… ซิ่งทำความเร็วทะลุ 200 กม./ชม. หรือสับคลัทช์เล่นสตั๊นท์จึงไม่ใช่เรื่องยาก
ด้วยพละกำลังทั้งมวลและความดีดเด้งที่ XSR900 ให้มานั้น ย่อมมีระบบช่วยเหลือการขับขี่ มาเพิ่มเติมความปลอดภัยลดระดับ “ความยาก” ในการควบคุมลงไปบ้าง..
เริ่มกันที่ระบบที่ลูกค้าจะได้สัมผัสกันตลอดเวลาของการขับขี่อย่าง Riding Modes มีมาให้เลือก 3 ระดับ..โหมด A คือโหมดที่ขับขี่ได้สนุกที่สุด แต่แลกมาด้วยการควบคุมที่ยาก และต้องใช้ทักษะมากขึ้นตามไปด้วย.. โหมด B คือโหมด “ซอฟท์” ที่สุด การเปิดคันเร่งเป็นไปอย่างนุ่มนวลคล้ายลักษณะของเครื่องยนต์ 4 สูบเรียง และโหมด Standard หรือโหมดมาตรฐานที่ทำให้คันเร่งรักษาความ “ขี่สนุก” และให้ความรู้สึก “ปลอดภัย” ได้ในขณะเดียวกัน
นอกจากการปรับโหมดพละกำลังข้างต้นแล้ว ผู้ขับขี่สามารถเลือกระดับของระบบ “TCS” หรือ “Traction Control System” ได้อีก 3 ระดับคือ 1(เปิดการทำงานปานกลาง), 2(เปิดการทำงานมากที่สุด) และ Off(ปิดการทำงาน) และระบบที่ให้มาติดรถเป็นพื้นฐานอย่าง ระบบเบรก ABS หน้า-หลัง ระบบ Assist & Slipper Clutch และคันเร่งแบบ YCC-T ที่ให้การควบคุมคันเร่งมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ตามด้วยระบบช่วงล่างที่พิเศษหน่อยเพราะสามารถปรับแต่งได้ทั้งหน้าและหลัง (เกือบเต็มระบบ)!
แม้ว่า Yamaha XSR900 จะออกสู่ท้องตลาดได้สักพักหนึ่งแล้ว แต่ก็ต้องยกตำแหน่งให้ในเรื่องของความดีดที่มีมากกว่าชาวบ้านเขา ซึ่งผู้ขับขี่ที่มีทักษะสูงๆหน่อยจะยิ่งสามารถสัมผัสความสนุกจากรถคันนี้ได้เป็นอย่างดี.. สนนราคาค่าสินสอดอยู่ที่ 439,000 บาท เท่านั้น!!
3. Kawasaki Z900RS
คล้ายๆกับ XSR900 ที่เราได้ยกมาพูดคุยไปก่อนหน้าว่า “อย่าไว้ใจหน้าตาหล่อเหลา” เพราะสำหรับ Kawasaki Z900RS นั้น แม้จะได้รับแรงบันดาลใจมาเต็มๆ โดยมีเจตนาเพื่อปลุกจิตวิญญาณของ Kawasaki Z1 ในยุค 70’s ขึ้นมาอีกครั้ง แต่เมื่อมองลึกลงไปภายในและชื่อรหัสตระกูล “Z” ก็พอทำให้เราคาดเดาได้ว่า นี่คือไฮเปอร์เน็กเก็ตไบค์ ที่ถูกแต่งหล่อขึ้นมาเท่านั้นเอง..
แต่ก็ไม่เชิงเสียทีเดียวเพราะสิ่งที่แตกต่างจากโมเดลเน็กเก็ตไบค์ของแท้อย่าง Z900 นั้นก็มีอยู่เยอะพอสมควร ทั้งมิติการควบคุมที่เริ่มตั้งแต่ แฮนด์บาร์ทรงกว้าง และยกสูงขึ้นมามากกว่า Z900 เฟรมรถมีการออกแบบให้เกรี้ยวกราดน้อยกว่า ทำให้ได้ท่านั่งที่ค่อนข้าง Upright ไม่ได้สปอร์ตมากเหมือน Z900.. นอกจากนี้เบาะนั่งให้มาแบบตอนเดี่ยว มีความอ้วนและกว้างมากขึ้นเพื่อตอบรับกับท่านั่งควบคุมดังที่ได้กล่าวไป..
ที่เห็นชัดที่สุดก็คือเรื่องของ “Styling” เรียกว่ายก Kawasaki Z1 ถอดแบบออกมาเลย ทั้งไฟหน้า LED ทรงกลม ถังน้ำมันทรงหยดน้ำ ตีโค้งเข้ารูปตอบรับช่วงขา เบาะนั่งตอนเดี่ยว ไฟท้ายทรงรี หน้าปัดเรือนไมล์แบบอนาล็อกผสานกับจอ LCD มัลติฟังก์ชั่น บอกข้อมูลครบถ้วน ความเร็ว รอบเครื่อง ตำแหน่งเกียร์ ปริมาณน้ำมันในถัง อุณหภูมิเครื่องยนต์ ระยะทาง และไฟเตือนสัญญาณต่างๆ รวมถึง แสดงสถานะระบบ KTRC (Kawasaki Traction Control) ที่ให้มา 2 ระดับ ใช้งานง่ายโดยระดับที่ 1 คือระดับปกติ คันเร่งเต็ม ตัดกำลังเครื่องเล็กน้อย มีพื้นที่ให้หมุนล้อฟรีได้นิดๆ และระดับที่ 2 นั้นเหมาะกับการขับขี่ยามฝนตก ถนนเปียก ที่จะมีการตัดกำลังคันเร่งลงไปอย่างชัดเจน แต่ก็แลกมากับความปลอดภัยและความสามารถในการคุมรถที่มากขึ้น
นอกจากนี้ออพชั่นต่างๆ จัดเต็มมาไม่แพ้ Z900 ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 948 ซีซี. 4 จังหวะ 16 วาล์ว ที่มีพละกำลังเต็มเปี่ยม แต่ถูกปรับจูนมาให้ดุดันน้อยลงจาก Z900 เล็กน้อยตามสไตล์ที่ต่างกัน ระบบ Assist & Slipper Clutch มีมาช่วยเสริมการส่งต่อกำลังให้เป็นไปอย่างลื่นไหลมากยิ่งขึ้น ช่วยตัดการดึงของรถเมื่อลดเกียร์ลงอย่างกระทันหัน ระบบช่วงล่างโช้คอัพหน้าหัวกลับขนาดแกน 41 มม. มาพร้อมความสามารถในการปรับตั้งค่าสปริงพรีโหลด อัตราการยุบและคลายตัวเช่นเดียวกับโช้คอัพแก๊สหลัง Horizontal Back-link ที่ปรับตั้งค่าต่างๆได้ไม่ต่างกัน
ดังนั้นหากใครที่กำลังมองรถหน้าตาหล่อๆ พลังเหลือๆ ขับขี่ในวันหยุดด้วยท่านั่งสบายๆ ไม่ต้องหล่อแบบลำบาก พร้อมค่าสินสอด 499,000 บาท…. และที่พิเศษยิ่งกว่าคือ มีรุ่นย่อยสำหรับสาย Cafe Racer กับโมเดล Z900RS CAFE ที่ให้แฮนด์บาร์ทรงต่ำลงมาอีกหน่อยกับชุดโม่งครอบไฟหน้าเข้ากับชุดสีของรถในราคา 505,000 บาท
4. Suzuki Katana
ใช่ครับ เรายังไม่จบจากการ “รีเมค” ปลุกตำนานรถคลาสสิกกันง่ายๆ อีกโมเดลขึ้นชื่อว่าเป็นตำนานจากฝั่งซูซูกิที่กลับมาอีกครั้งในรูปแบบของรถไฮเปอร์เน็กเก็ต คาแร็คเตอร์ดุดัน สมคำร่ำลือ ของ Suzuki Katana รุ่นปี 1981 เป็นโมเดลปลุกความเร่าร้อนของซูซูกิไปทั่วโลก มีหน้าตาโฉบเฉี่ยวแตกต่างจากค่ายอื่นๆอย่างชัดเจน ด้วยเอกลักษณ์ไฟหน้าทรงเหลี่ยมบนรถสไตล์ฮาร์ฟแฟริ่ง และเครื่องยนต์ที่แรงไม่เป็นสองรองใคร..
Suzuki Katana โมเดลใหม่นี้ได้พื้นฐานเครื่องยนต์และวิศวกรรมมาจาก Suzuki GSX-R1000 K5 รถสปอร์ตเต็มขั้น เครื่องยนต์ที่หลายๆคนติดใจในเรื่องความ “ดุ” ด้วยช่วงชักที่ยาวทำให้แรงบิดเยอะกว่ารถ 4 สูบ 1,000 ซีซี. ของชาวบ้านเขา แต่ก็แลกมากับแรงสะท้านที่มากขึ้นหน่อยของการทำความเร็วรอบปลาย.. พอได้ลองมองมุมกลับปรับมุมมองดูก็ ปิ๊ง! เพราะมันเหมาะกับคาแร็คเตอร์ของไฮเปอร์เน็กเก็ตคันนี้พอดีน่ะสิ..
ด้วยมิติการควบคุมตามสไตล์รถไฮเปอร์เน็กเก็ตส่วนใหญ่ ท่านั่งมีความสปอร์ต พักเท้ายกสูงเยื้องมาด้านหลังเล็กน้อยทำให้สามารถควบคุมรถในย่านความเร็วสูงได้ดียิ่งขึ้น และเมื่อผสานกับฮาร์ฟแฟริ่งของ Katana ก็มีประโยชน์อยู่ไม่น้อยเพราะมันใช้หมอบหลบลมตอนทำความเร็วได้ดี
ขณะที่ช่วงแฮนด์ให้ระยะการควบคุมที่กว้างพอสมควร เมื่อต้องขับขี่ในเมืองที่ทำความเร็วมากไม่ได้นั้นเป็นไปอย่างคล่องตัวมากกว่ารุ่นอื่นๆ แต่ข้อเสียคือ หากคุณเลือกที่จะขับขี่อย่างคล่องแคล่วในเมืองแล้ว ช่วงหน้ารถแบบนี้จะมีอาการ “หน้าเบา” ทันทีเมื่อทะยานสู่ย่านความเร็ว.. ดังนั้นหยิบไปพิจารณากันดีๆนะครับ
ส่วนเรื่องการขับขี่ภาพรวมต่างๆ ตัวผมให้ผ่านฉลุย ในแง่ของพละกำลัง ความสนุก สะดวกสบาย และระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่แม้จะไม่หวือหวา แต่ก็ถือว่าตอบโจทย์มาก..
โดยระบบไฟฟ้าที่ติดรถมามีออพชั่นการปรับโหมด Traction Control ได้ถึง 3 ระดับ โดยระดับที่ 1 คือความมันขั้นสูงสุด เหมาะกับการใช้งานในรูปแบบสปอร์ตหรือสนาม ที่มีการตัดกำลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น, ระดับที่ 2 คือระดับปกติ เหมาะกับการใช้งานทั่วไป ใช้งานในเมือง ที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสกับความดุดัน และความสนุกสนานได้อย่างเต็มเปี่ยมบนความรู้สึกปลอดภัยได้ด้วย โหมดที่ 3 คือโหมด “ฝน” ที่มีการรักษาอัตราการหมุนของล้อหน้า-หลังให้สัมพันธ์กันมากที่สุดเพื่อป้องกันล้อสไลด์ โดยเฉพาะบนสภาพถนนที่การยึดเกาะน้อยอย่างตอนที่ถนนเปียกนั่นเอง
ใครสนใจอยากลองสัมผัสกับตำนานตัวเป็นๆที่เส้นสายจากอดีตยังคงแสดงออกมาอย่างชัดเจนบนตัวรถ บนสมรรถนะสไตล์ “ไฮเปอร์เน็กเก็ต” ที่เต็มเปี่ยม ก็ลองไปสัมผัสได้ที่ศูนย์บริการใกล้บ้าน ราคาค่าตัวนั้นอยู่ที่ 569,000 บาท!
5. Triumph Speed Twin
ปล่อยให้โมเดลเริ่มต้นประจำค่ายอย่าง Triumph Street Twin (900 ซีซี.) ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าอยู่ตั้งนาน ด้วยสไตล์ที่ขี่ง่าย เป็นมิตร และเสียงเครื่องยนต์ 2 สูบเรียงทำมุมจุดระเบิด 270 องศา อันเป็นเอกลักษณ์.. ด้วยการปล่อยโมเดล Triumph Speed Twin ออกมา อุดช่องว่างของตลาดที่ต้องการรถบิ๊กไบค์โมเดิร์นคลาสสิกขี่ง่าย ทำความเร็วหรือเร่งแซงก็สนุกแบบ “ตุบตับ” ได้เต็มไม้เต็มมือเสียที..
ส่วนตัวผมอยากเรียกเจ้า Speed Twin ว่าเป็นรถไฮเปอร์เน็กเก็ตไปเสียเลยด้วยซ้ำ เพราะนอกจากหน้าตาที่คลาสสิกสไตล์ผู้ดีอังกฤษของ Triumph แล้ว ระบบภายในทุกอย่างนั้นใหม่หมดจด ถึงแม้ว่าจะเป็นเครื่อง 2 สูบเรียง 1,200 ซีซี. แต่อย่าได้ดูถูกความแรงของน้องทีเดียว เพราะยิ่งจำนวนลูกสูบน้อย และขนาดสูบใหญ่แบบนี้ “แรงบิด” จัดเต็ม..
โดยแรงม้าสูงสุดที่เครื่องยนต์บล็อกนี้ทำได้อยู่ที่ 97 แรงม้า.. แรงเพียงพอต่อการขับขี่เดินทางระยะไกลได้สบายๆ ที่น่าสนใจคือตัวเลขแรงบิด 112 นิวตันเมตร ที่ 4,950 รอบ..มาเร็ว มาแรง การขี่ในเมือง เร่งแซง เปิดคันเร่งออกจากสี่แยกไฟแดงนั้น สนุกทะลุเพดานกราฟครับ..
แต่ก็ต้องบอกอีกนิดว่า มิติท่านั่งแตกต่างจากรุ่นน้อง Street Twin อยู่เล็กน้อย ด้วยเหตุของความสปอร์ตที่มีมากขึ้น ท่านั่งต้องตอบรับกับการทำงานของเครื่องยนต์ที่จะเอื้อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัยอยู่มือนั่นเอง
ซึ่งระบบเทคโนโลยีก็เป็นอีกสิ่งที่ Triumph จัดเต็มมาให้ลูกค้าเสมอ ระบบช่วยเหลือการขับขี่ปรับเลือกได้ 3 ระดับ Road สำหรับการขับขี่บนถนนในเมือง ปรับการจ่ายน้ำมันเข้าห้องเครื่องยนต์ให้พอประมาณ แสดงผลออกมาทางการขับขี่ที่สนุกแต่ไม่หวือหวา, โหมด Rain เหมาะกับการขับขี่บนพื้นถนนเปียก เพื่อความปลอดภัย จึงเป็นโหมดที่ควบคุมง่ายที่สุด และโหมด Sport ของผู้ที่ชื่นชอบการทำความเร็ว ที่จะจัดเต็มทุกตัวเลขความโหดที่เจ้า Speed Twin มอบให้!
นอกจากนี้ยังมีออพชั่นแน่นๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบเบรกหน้า Brembo 4 ลูกสูบ ที่ทำงานร่วมกับจานดิสก์คู่ขนาด 305 มม. และจานดิสก์เดี่ยวขนาดแกน 220 มม. พร้อมปั๊มเบรกจาก Nissin 2 ลูกสูบด้านหลัง ABS ก็มีติดมาเป็นพื้นฐาน.. ยางติดรถนั้นก็เป็นตัวท็อป Pirelli Diablo Rosso III มั่นใจได้ในสมรรถนะและการยึดเกาะ..
ใครที่ชื่นชอบ Triumph ในเรื่องของความหล่ออยู่แล้วล่ะก็ไม่ผิดหวัง แถมได้สมรรถนะเหนือๆ ความสนุกไม่แพ้เพื่อนๆในกลุ่มไฮเปอร์เน็กเก็ตข้างต้นสักนิด ที่สำคัญคือเสียงเครื่องยนต์ 2 สูบลูกโต 1,200 ซีซี. ทำให้เรารู้สึกระส่ำระสายทุกครั้งที่ได้สัมผัสอยู่เสมอ.. ราคาค่าตัวอยู่ที่ 576,000 บาท จ้ะ!
6. BMW R9T
ชูโรงด้วยตอนเซ็ปต์ของความเป็นอิสระ.. การขับขี่เพื่ออรรถรส ชมทิวทัศน์ ชิมโค้ง ปล่อยให้สายลมปะทะใบหน้าบนการสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ Boxer Twin ผสานกับ Styling อันเป็นเอกลักษณ์ของ BMW มาตั้งแต่ยุคเริ่มต้น เสน่ห์ของการปรับแต่งรถให้เป็นตัวแทนของเราเอง พร้อมสมรรถนะที่ได้รับการวิเคราะห์ วิจัยและพัฒนามาโดยเฉพาะตามสไตล์ BMW.. ดังนั้น BMW R9T จึงเป็นรถบิ๊กไบค์ Sport Classic ที่แตกต่างจากรุ่นอื่นๆที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เพราะมีพื้นที่ให้เต็มอิ่มกับความสนุก และความรู้สึกของการเป็นนักขี่ได้อย่างมากที่สุด..
BMW เหมือนจะรู้ดีถึงสิ่งที่ทำให้นักขี่มอเตอร์ไซค์หลงใหลในความเป็น BMW.. การคงไว้ซึ่งสิ่งที่เรียกว่า “คลาสสิก” เช่น เครื่องยนต์ Boxer Twin, ถังน้ำมันกระชับรับการขับขี่ และช่วงท้ายรถอันเพรียวบาง ที่สำคัญคือ งานประกอบตลอดคันเป็นงานเกรดพรีเมี่ยม วัสดุอลูมิเนียมทั่วทั้งคันตามสไตล์ BMW ..
ก้มลงมามองสิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาที่สุด คือ “เครื่องยนต์” 2 สูบ ขนาด 1,170 ซีซี. “Boxer Twin” เพราะเครื่องยนต์ที่วางห้องจุดระเบิดออกมาด้านข้างในแนวนอน นอกจากช่วยสมดุลแรงเหวี่ยงของลูกสูบแล้ว ยังเป็นการระบายความร้อนที่ดีอีกด้วย เพราะเจ้า R9T ใช้ระบบระบายความร้อนด้วย “อากาศ” การยื่นออกมาแบบนี้จึงเป็นการรับลมได้แบบเต็มๆ..
โดยให้พลังสูงสุด 110 แรงม้า แรงบิด 116.6 นิวตันเมตรที่ 6,000 รอบเครื่อง.. ดังนั้นเพียงแค่กวาดตามองที่ตัวเลขเพียงอย่างเดียวก็พอจะทราบแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นการเดินเครื่องที่รอบต่ำ หรืออยากระห่ำความเร็วที่รอบสูง R9T นั้นก็สามารถตอบโจทย์ได้อย่างสบายๆ..
นอกจากนี้ระบบช่วยเหลือการขับขี่ทั้ง ABS และ ASC (Automatic Stability Control) ยังช่วยให้การขับขี่เป็นไปได้อย่างปลอดภัยมากขึ้น หรือจะเป็นออพชั่นการปรับตั้งค่าของสปริงพรีโหลดของโช้คอัพได้ทั้งหน้า-หลัง โดยเฉพาะโช้คอัพหน้าที่สามารถปรับค่าตั้งค่าการบีบ-คืนตัวได้, กันสะบัดด้านหน้าถูกติดตั้งมาให้จากโรงงานที่ใต้บริเวณแผงคอ, ปั๊มเบรกหน้า Brembo..
ท่านั่งการขับขี่ของ BMW R9T ก็ถูกออกแบบมาให้เข้าถึงง่าย ด้วยเบาะนั่งตำแหน่งต่ำ สามารถปรับให้เตี้ยลงได้อีกด้วยเพียงแค่กระซิบบอกผ่านศูนย์บริการไปเท่านั้น แฮนด์บาร์ทรงสูง เว้าถังน้ำมันกระชับเข่า ทำให้เป็น 1 ในโมเดลที่มีการออกแบบท่านั่งควบคุมมาได้กระชับตอบสนองต่อการขับขี่ได้ดีที่สุดทีเดียว
สำหรับราคาอยู่ที่ 1,110,000 บาท และมีรุ่นย่อยอีกหลายหลาย ทั้ง R9T Pure(880,000 บาท), R9T Racer(975,000 บาท), R9T Scrambler(950,000 บาท) และ R9T Urban G/S(975,000 บาท).. แน่นอนว่าทุกรุ่น ของแต่ง “เพียบ” ..