ถึงเวลาอัปเกรดแพลตฟอร์มพรีเมียม ADV ของตัวเองเสียที เมื่อโฉมสูบคู่ 850 ซีซี. ต้องขยับให้ขับขี่ “ลุยได้เต็มมือกว่าเดิม” แถมเปิดทีเดียว 3 ไลน์อัพ ทั้ง F 800 GS, F 900 GS และ F 900 GS Adventure ซึ่งทั้ง 3 ถูกจัดทรงมาค่อนข้างต่างกันอย่างชัดเจน.. งานนี้ BMW จัดทรง + ความแรงมาให้แบบเต็มๆก่อนจะครอบด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์และช่วงล่างอัจฉริยะขึ้นชื่อของเขา… แล้วทั้ง 3 รุ่นนี้จะมีรายละเอียดอะไรเปลี่ยนไปจากเดิมบ้าง? ไปชมกันเลยครับ
1. อัปเกรดเครื่องยนต์
ขยับซีซี. ให้บิดกระชับติดมือจาก 853 ซีซี. เดิม กลายเป็น 895 ซีซี. เป็นพื้นฐานเครื่อง 2 สูบเรียงอยู่ มีซุ่มเสียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ BMW เพราะองศาจุดระเบิด 270/450 องศา พร้อมให้แรงม้าสูงขึ้นเป็น 105 แรงม้า (F900) และ 87 แรงม้า (F800) ที่สำคัญคือมีการปรับกราฟแรงบิดให้เต็มมือ “ดึง” ดีกว่าเดิมทั้ง 3 โมเดล
2. โหมดขับขี่และชุดอิเล็กทรอนิกส์
ว่ากันที่พื้นฐานก่อน จะมีโหมดขับขี่ให้เลือกใช้งานอยู่ 2 โหมด “Rain” และ “Road” ในทุกโมเดล รวมถึงระบบ Dynamic Traction Control (DTC), ABS Pro, Cornering ABS และ Dynamic Brake Light ก็มีให้เป็นพื้นฐานเช่นเดียวกัน
สำหรับ Riding Mode Pro นั้น สามารถซื้อเพิ่มเพื่อเข้าถึงฟังก์ชันนี้ โดยโหมดนนี้มีการปรับตั้งค่าการทำงานของระบบให้เหมาะกับผู้ขับขี่ได้ ซึ่งจะได้ในส่วนของการขับขี่เพิ่มเติม, การปรับโหมดขับขี่เริ่มต้น,การปรับแต่งเอนจิ้นเบรก และระบบ Dynamic Brake Control (DBC)
3. ลดน้ำหนัก
แม้ทั้ง 3 รุ่น จะใช้พื้นฐานเฟรมเดียวกัน แต่สำหรับรหัส F900GS ทั้ง 2 โมเดล มีการปรับลดน้ำหนักตัวครั้งใหญ่ ด้วยการหันมาใช้ถังน้ำมัน “พลาสติก” แทน ซึ่งจะช่วยเซฟน้ำหนักตัวไปได้ว่า 4.5 กก. จากเดิมใช้ถังสแตนเลส
ส่วนรุ่น F900GS ยังถูกดีไซน์ช่วงท้ายรถใหม่ ให้มีมิติเพรียวลม ลดน้ำหนักลงอีก 2.4 กิโลกรัม และอีก 1.7 กิโลกรัมสุดท้ายที่หายไปของท่อไอเสีย Akrapovič ฟูลซิสเต็มตรงรุ่น ที่ติดรถมาด้วยนั่นเอง
4. โหมด Enduro Pro ใหม่
เพิ่มความสามารถให้ลุยทาง Off-Road ได้อีกระดับ ด้วยชุดกันสะเทือนหน้าหัวกลับ เคลือบไทเทเนียม “ปรับแต่งได้เต็มระบบ” ทั้งปรับที่หัวโช้ค ปรับ Central Spring Strut แฮนเดิลบาร์ปรับระดับได้ และชุดโซ่ “M Endurance” พร้อมระบบ Dynamic ESA (ปรับโช้คไฟฟ้าแบบเรียลไทม์) จะเป็นออพชันเสริมสำหรับ F900 GS Adventure และ F800 GS
5. พร้อมลุย Off-Road กับ F 900 GS
เรียกว่า “แปลกตา” ไปเลยก็ได้ เมื่อตระกูล GS ไม่ใช้ไฟเหลี่ยม แต่เป็นชุดไฟหน้า LED โคมเดียว ทั้งนี้ก็เพื่อปรับมิติรถรอบคันให้ซัพพอร์ตกับการขับขี่ออฟโรดดีขึ้นนั่นเอง.. อย่างแรกคือ เซ็ต สามเหลี่ยมท่านั่งใหม่ ตำแหน่งแฮนด์-เบาะนั่ง-พักเท้า สำหรับสายลุยโดยเฉพาะ.. พักเท้าเตี้ยลง แฮนด์บาร์สูงขึ้น มิติถังน้ำมันเว้าหลบช่วงขาเพื่อท่ายืนขับขี่ที่เข้ามือ
นอกจากนี้ ทั้ง 3 โมเดลยังมีการติดตั้งชิ้นส่วนต่างๆให้ “ปรับระดับได้” ทั้งตำแหน่งก้านเกียร์ จุดหมุน และปรับรายละเอียดยิบย่อยอื่นๆของชุดเกียร์ได้อีก หรือแม้กระทั่งก้านเบรกหลังของ F900GS เองก็ถูกยกให้สูงขึ้นเพื่อรองรับกับการสวมใส่รองเท้าสไตล์ ADV Enduro ด้วย
และรุ่น F900 GS, GS Adventure ยังได้รับ Body ใหม่ ที่สายออฟโรดต้องร้องว้าว เพราะช่วงหน้าที่ปรับโฉมใหม่นั้น สอดรับกับร่างกายและการขับขี่ที่ต้องการเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่วได้ดีขึ้น.. ถังน้ำมันแคบลง ชุดข้างแคบลง ขนาดหม้อน้ำปรับกระชับขึ้น กับช่วงซ้ายที่แคบลงอย่างชัดเจน
6. เชื่อมต่ออุปกรณ์อื่นๆ
หลายๆคนอาจจะไม่ค่อยรู้ แต่ BMW มีระบบเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆที่ค่อนข้างนิ่ง-ไว้ใจได้ เป็นอันดับต้นๆ โดย F800 GS, F900 GS และ F900 GS Adventure จะได้ชุดหน้าปัด Digital LCD ขนาด 6.5 นิ้วมาเหมือนกัน (หลังจากที่ก่อนหน้านี้ยังเป็น ดิจิทัล-อนาล็อก แบบ ขาว-ดำ อยู่) แถมหน้าปัดชุดใหม่นี้ยังเป็นมิตรกับผู้ใช้งานสุดๆ เมื่อทำงานร่วมกับปุ่มควบคุมแบบพิเศษของ BMW ทำให้การอ่านข้อมูล, โทรศัพท์, ปรับเปลี่ยนเมนูเพลง หรือกดตั้งค่าต่างๆขณะขับขี่ก็ทำได้ไม่ยากเกินไป
และ F900 GS ก็ได้พิเศษ (อีกแล้ว) คือมีขายึดอุปกรณ์เสริมขนาด 12 มม. มาให้ สำหรับติดกล้อง Action Cam หรืออุปกรณ์ GPS นำทางอื่นๆ
7. สีใหม่
สีพื้นฐานของรุ่น F900 GS นั้นคือ Black Storm Metallic, รุ่น Ride Pro สี Matt White Aluminium ส่วน F800 GS มี 3 สีให้เลือก Light White, Racing Blue และดำเข้มสุดตลอดคัน Blackstorm Metallic
ปรับโฉมใหม่พร้อมจัดทรงให้เลือกแบบโดนใจ ไม่ว่าจะเน้นทางฝุ่น, ทางเรียบ หรือผสมผสาน พร้อมระบบอิเล็กทรอนิกส์เยี่ยมๆที่ยังไม่เคยมีใครโค่น BMW ลงได้เสียที งานนี้รอชมเลยว่าหากเปิดตัวที่ไทยแล้วราคาจะเป็นอย่างไร.. อย่างว่าแหละ “อยากจบต้องคบ BMW” จริงไหมครับ?